ฉีดไขมันใต้ตา VS ฟิลเลอร์ใต้ตาเลือกอันไหนดี? แบบไหนที่ดีกว่ากัน
หากจะให้พูดถึงอีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลทำให้ใบหน้าโทรม ดูมีอายุที่มากกว่าวัยก็คงจะหนีไม่พ้นปัญหาเรื่องของผิวใต้ตากันอย่างแน่นอน ทำให้ปัจจุบันเราได้มีวิธีการแก้ปัญหาผิวใต้ตาที่มีหลายวิธีมากขึ้นแต่หากจะให้พูดถึงวิธียอดนิยมก็คงจะต้องนึกถึงการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหรือการฉีดไขมันใต้ตา ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึงความแตกต่างของทั้งสองวิธีนี้กัน
ฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร?
ทั้งการฉีดไขมันใต้ตาและการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นถือเป็นวิธีในการช่วยแก้ปัญหาผิวใต้ตาด้วยการฉีดตัวสารเข้าไปยังชั้นผิว สืบเนื่องมาจากว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวจะค่อย ๆ เสื่อมลงบวกกับร่างกายก็ผลิตขึ้นมาทดแทนได้น้อยลง จนทำให้ผิวส่วนใต้ตาเกิดการยุบตัวลงกลายเป็นแอ่งลึกทำให้เกิดปัญหาใต้ตาต่าง ๆ อย่างมากมาย
และการฉีดไขมันใต้ตาหรือการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นจะเข้าไปเติมเต็มชั้นผิวที่ยุบตัวลงให้มีความเต็มมากยิ่งขึ้นส่งผลทำให้ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาต่าง ๆ เช่น ปัญหาริ้วรอยใต้ตา แก้ใต้ตาดำคล้ำ ปัญหาตาโหลเบ้าตาลึก แก้ปัญหาถุงใต้ตาหย่อน หรือแม้แต่การฉีดเพื่อสร้างดอลลี่อายเพิ่มเสริมให้ดวงตาดูหวานอ่อนโยนขึ้นตามเทรนด์ความงาม ซึ่งทั้ง 2 หัตถการนั้นจะมีความแตกต่างกันหลัก ๆ ในเรื่องของสารที่ใช้ฉีดไม่ว่าจะเป็นไขมันของคนไข้หรือสารฟิลเลอร์แบบบริสุทธิ์นั่นเอง
ฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตามีความต่างกันอย่างไร
การฉีดไขมันใต้ตา
เป็นการฉีดตัวไขมันของคนไข้ที่เข้าไปช่วยเติมเต็มผิวใต้ตา ซึ่งวิธีนี้คนไข้จะต้องผ่านการดูดเอาไขมันออกมาจากส่วนต่างๆ ของร่างกายก่อน เช่น ต้นแขน ต้นขน หน้าท้อง แล้วนำไขมันที่ได้ไปสู่กระบวนการปั่นคัดแยกไขมัน เพื่อคัดเลือกเอาส่วนไขมันที่ดีไปฉีดเติมเต็มส่วนบริเวณใต้ตานั่นเอง
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
เป็นการฉีดสารเติมเต็มอย่าง ไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ที่มีความบริสุทธิ์สูงเนื่องจากเป็นสารที่ถูกสกัดมาจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นตัวสารที่สามารถพบได้ในร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เพียงแต่มนุษย์จะทำการสร้างสารตัวดังกล่าวออกมาได้น้อยลงเรื่อยๆ เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น โดยสารตัวนี้จะเข้าไปทำหน้าที่แทนคอลลาเจนที่เสื่อมโทรมไปทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร?
ประโยชน์ของการฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตา
- ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย รอบดวงตาได้ดี
- ช่วยแก้ปัญหาเบ้าตา ตาโหล ที่ส่งผลทำให้ใบหน้าดูโทรม
- ช่วยแก้ปัญหาถุงใต้ตาหย่อนคล้อย
- ช่วยทำให้ผิวใต้ตามีความอิ่มฟู สุขภาพดี
- ช่วยทำให้ผิวใต้ตามีความกระชับ เรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
ฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตามีข้อดี ข้อเสียอย่างไร
แน่นอนว่าหัตถการแก้ปัญหาผิวใต้ตาในปัจจุบันนั้นก็ต่างล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ ดังนั้นก่อนทำจึงควรทำการศึกษาข้อมูลและพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำ
ข้อดีและข้อเสียของการฉีดไขมันใต้ตา
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
– ลดโอกาสการแพ้ระคายเคืองได้ดี เนื่องจากตัวไขมันที่ใช้เป็นไขมันของคนไข้เอง เวลาฉีดแล้วร่างกายจึงไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม – ในตัวเซลล์ไขมันจะมีสเต็มเซลล์อยู่ทำให้ช่วยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ – หลังฉีดจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้นานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ โดยจะสามารถเห็นได้ประมาณ 3-5 ปีหรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง | – ก่อนฉีดคนไข้จะต้องผ่านการดูดไขมันก่อนจึงทำให้มีบาดแผลเกิดขึ้นในจุดดังกล่าวได้ – หลังฉีดจะใช้ระยะเวลาการเข้าที่นานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ – หลังฉีดการเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำบนผิวได้ง่ายกว่า – หลังฉีดอาจเกิดปัญหาเป็นก้อนหรือเป็นคลื่นได้ เนื่องจากเซลล์ไขมันสลายตัวได้ไม่สม่ำเสมอ – หลังจากฉีดแล้วเกิดไม่พึงพอใจผลลัพธ์จะทำการแก้ไขได้ยาก อาจจะต้องดูดออกหรือผ่าตัดขูดเอาไขมันออก |
ข้อดีและข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
– เห็นผลได้อย่างทันทีและจะใช้ระยะเวลาในการเข้าที่ประมาณ 2 สัปดาห์ – หลังฉีดไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น สามารถแต่งหน้าใช้ชีวิตได้ตามปกติ – เทคนิคและวิธีการฉีดจะง่ายกว่า – หากฉีดแล้วไม่พอใจในผลลัพธ์สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์หรือฉีดเพิ่ม – ปัจจุบันมียี่ห้อฟิลเลอร์ให้เลือกหลายยี่ห้อ และหลายเรทราคา | – ระยะเวลาการเห็นผลจะสั้นกว่าการฉีดไขมัน โดยจะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือนขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อที่ใช้ฉีด – หากฉีดด้วยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้ฟิลเลอร์ของปลอมอาจเป็นก้อนหรือไหลจนผิดรูปได้ – ไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติการแพ้สารไฮยาลูรอนิค เอซิด |
ฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตาจะต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเห็นผล
ในเรื่องปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นโดยปกติจะใช้อยู่ที่ 1-2 ซีซี (เฉลี่ยข้างละ 1 ซีซี) ส่วนการฉีดไขมันจะใช้อยู่ที่ประมาณ 30-40 ซีซี แต่ทั้งนี้ในบางรายอาจมีการใช้ปริมาณที่มากกว่านั้นขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละบุคคล
ฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตาแบบไหนอยู่ได้นานกว่ากัน
เรื่องของระยะเวลาการเห็นผลนั้นก็ต้องบอกว่าทั้ง 2 วิธีต่างก็จะมีระยะเวลาการเห็นผลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะเห็นผลได้โดยประมาณ 6-12 เดือนขึ้นซึ่งในบางรายอาจมากกว่าและหรือกว่าขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคนไข้ว่ามีพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการสลายตัวของเนื้อฟิลเลอร์มากน้อยแค่ไหน
- การฉีดไขมันใต้ตา จะเห็นผลได้โดยประมาณ 3-5 ปีหรือมากกว่านั้น
หลังฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีอาการบวมไหม
เรียกได้ว่าทั้ง 2 วิธีนั้นก็อาจมีการเกิดผลข้างเคียงเกิดขึ้นไดด้เหมือนกันทั้งคู่ เช่น อาการบวมซึ่งถือเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติและไม่ได้มีความอันตรายที่ร้ายแรงแต่อย่างใด และอาการดังกล่าวจะบวมอยู่ที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์จากนั้นจึงจะค่อย ๆ ยุบตัวและหายไปเอง
ฉีดไขมันใต้ตา VS ฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วจะเป็นก้อนไหม
ก็ต้องบอกว่าทั้ง 2 หัตถการล้วนมีโอกาสเกิดการเป็นก้อนได้เช่นกัน แต่ก็จะเกิดขึ้นจากปัจจัยที่ต่างกัน ดังนี้
- การฉีดไขมันใต้ตา มีโอกาสเป็นก้อนได้ง่ายกว่าเนื้อจากในกรณีที่ฉีดในผิวชั้นตื้นและหากเป็นก้อนก็จะแก้ไขได้ยาก เช่น การผ่าตัดขูดเอาเซลล์ไขมันออก ดังนั้นหมอหลายคนจึงไม่ค่อยแนะนำวิธีนี้สักเท่าไหร่
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีโอกาสเป็นก้อนได้น้อยเนื่องจากเนื้อฟิลเลอร์จะมีขนาดโมเลกุลที่เท่ากัน เนื้อมีความผสานกันและยึดเกาะผิวได้ดี แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากฉีดกับหมอที่ไม่มีความชำนาญ หมอฉีดในชั้นผิวที่ตื้นเกินไป หรือฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินความจำเป็น แต่ก็สามารถแก้ไขได้ง่ายด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์หรือไฮยาลูโรนิคเดส (Hyaluronidase)
การฉีดฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นอันตรายไหม
แน่นอนว่าในยุคที่ความสวยเป็นเรื่องเข้าถึงง่าย แต่เรื่องความปลอดภัยเองก็สำคัญมากๆ เช่นกันซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าหัตถการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและการฉีดไขมันใต้ตานั้นถือว่ามีความปลอดภัยอย่างมากในปัจจุบัน โดยจะมีรายละเอียดดังนี้
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา : ฟิลเลอร์มีความบริสุทธิ์สูงทำให้มีความใกล้เคียงกับสาร HA (Hyaluronic Acid) ในร่างกายมนุษย์จึงช่วยลดโอกาสการแพ้ระคายเคือง และเมื่อเวลาผ่านไปฟิลเลอร์จะสลายตัวได้เองโดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายไว้ในร่างกาย
- การฉีดไขมันใต้ตา : ตัวไขมันเป็นเซลล์ไขมันของคนไข้เอง ดังนั้นฉีดไปแล้วร่างกายจะไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมแต่อย่างใด ทำให้ไม่มีโอกาสในการอักเสบหรือแพ้ระคายเคือง
แต่ทั้งนี้สิ่งสำคัญก็คือการจะต้องเลือกเข้ารับบริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน และควรทำกับหมอที่มีประสบการณ์สูงเพื่อลดความผิดพลาดในระหว่างการรักษา ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์จะต้องใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านอย. เท่านั้น และจะต้องดูดและฉีดไขมันกับโรงพยาบาลศัลยกรรมชั้นนำที่ได้มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข
ฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตาแบบไหนเจ็บกว่ากัน
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่หลายคนให้ความสนใจอย่างยิ่งก็คือความรู้สึกระหว่างทำ ซึ่งแน่นอนว่าการฉีดไขมันใต้ตาจะมีความเจ็บที่มากกว่า เนื่องจากตัวสารฟิลเลอร์ได้มีส่วนผสมของยาชาอยู่ทำให้ระหว่างฉีดจะเจ็บน้อยกว่าหรือไม่เจ็บเลย รวมทั้งการฉีดไขมันยังมีอาการเจ็บบาดแผลในจุดที่ดูดไขมันออกมาอีกด้วย
ราคาค่าฉีดไขมันใต้ตาและฟิลเลอร์ใต้ตา
ในส่วนของราคานั้นจะขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละคลินิกที่เข้ารับบริการแต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีราคาโดยประมาณดังนี้
- การฉีดไขมันใต้ตา : 40,000-120,000 บาท
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา : 7,000-10,000 บาท/ 1 ซีซี
ซึ่งที่กังนัมคลินิกเรามีบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาด้วยฟิลเลอร์ 4 ตัวยอดนิยมที่มีราคาโปรโมชั่น ดังนี้
- Restylane lidocaine (Sweden) เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาเริ่มต้น 8,623 บาท / 1 ซีซี (อยู่ได้นาน 12เดือน)
- Restylane Perlane (Sweden) เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาเริ่มต้น 8,623 บาท / 1 ซีซี (อยู่ได้นาน 18เดือน)
- Juvederm Voluma (Allergan) เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาเริ่มต้น 10,693 บาท / 1 ซีซี (อยู่ได้นาน 18เดือน)
- Belotero รุ่น Soft เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาเริ่มต้น 7,896 บาท / 1 ซีซี (อยู่ได้นาน 12เดือน)
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและการฉีดไขมันใต้ตานั้นถือเป็นอีกทางเลือกยอดนิยมในการแก้ปัญหาใต้ตาไม่ว่าจะเป็น ปัญหาริ้วรอย ปัญหาใต้ตาลึก เบ้าตาลึก ปัญหาดำคล้ำ ปัญหาถุงใต้ตาหย่อนคล้อยรวมไปถึงตัวช่วยในการปรับผิวใต้ตาให้กลับมามีความเรียบเนียน ชุ่มชื้นและกระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งทั้ง 2 วิธีเองต่างก็มีจุดเด่นที่ต่างกันทั้งในเรื่องของความยากง่ายที่การฉีดฟิลเลอร์จะง่ายกว่า การเห็นผลลัพธ์ที่การฉีดไขมันจะเห็นผลได้นานกว่า การแก้ไขกรณีไม่พอใจผลลัพธ์และเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ทางฝั่งวิธีการฉีดฟิลเลอร์นั้นจะมีข้อได้เปรียบที่มากกว่าการฉีดไขมันใต้ตานั้นเอง
สำหรับใครที่มีปัญหาผิวใต้ตาคอยกวนใจอยากปรึกษาที่กังนัมคลินิกเรามีบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยสามารถเข้ามาปรึกษาหรือสอบถามรายละเอียดของหัตถการและค่าใช้จ่ายได้ก่อนที่กังนัมคลินิกทุกสาขาหรือผ่านช่องทางออนไลน์อย่าง Line : @gangnamclinic