ฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวดียังไง ต้องทำกี่ครั้ง แต่ละครั้งอยู่ได้นานแค่ไหน
หนึ่งในวิธีช่วยปรับดูแลผิว แก้ปัญหาผิวแห้ง ผิวหยาบกร้าน ผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้างได้ดีนั้นก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว ที่จะเข้ามาช่วยฟื้นบำรุงผิวได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลไว ดังนั้นในบทความนี้เราเลยจะพาไปรู้จักกับการฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวว่าคืออะไร ช่วยเรื่องอะไร และควรเลือกฉีดอย่างไรให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวคืออะไร
คือการฉีดฟิลเลอร์กลุ่มสาร Hyaluronic Acid หรือ HA ที่มีความบริสุทธิ์และมีโมเลกุลขนาดเล็กเข้าไปในผิวชั้นตื้น เพื่อทำให้เนื้อฟิลเลอร์ไปทำหน้าที่ทดแทน HA ที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นมาได้น้อยลง สาร HA ในฟิลเลอร์จึงเข้าไปช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ที่ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น ผิวมีความเรียบเนียนขึ้น และยังช่วยปรับรูขุมขนให้กระชับขึ้นอีกด้วย
อ่านข้อมูลฟิลเลอร์เพิ่มเติม: ฉีดฟิลเลอร์ แต่ละจุดช่วยเรื่องอะไร ครบทุกเรื่อง ที่ควรรู้ก่อนฉีดครั้งแรก 2024
“เกร็ดความรู้”
ทำไมร่างกายถึงผลิตสาร HA ออกได้น้อยลง ?
นั้นก็เพราะว่าเมื่อคนเรามีอายุที่มากขึ้น (เฉลี่ยอายุ 20 ปีขึ้นไป) ร่างกายของเราจะเริ่มทำการผลิตสาร HA, Collagen และ Elastin ออกมาได้น้อยลงเรื่อย ๆ ส่งผลทำให้ผิวเริ่มมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นผิวที่แห้ง ผิวมีริ้วรอย ร่องลึก ไม่หย่อนคล้อยไม่กระชับนั่นเอง นอกจากนั้นยังมีปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายนอกอย่างเช่น ฝุ่น มลภาวะต่าง ๆ ที่ก็จะเข้ามาทำลาย HA ในผิวได้อีกด้วย
ฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวช่วยในเรื่องอะไรบ้าง
- ช่วยปรับผิวให้มีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นขึ้น ลดผิวแห้งกร้านได้
- ช่วยปรับผิวให้มีความเรียบเนียน
- ช่วยปรับรูขุมขนให้กระชับขึ้น
- ช่วยลดริ้วรอย ร่องลึกตามจุดต่าง ๆ
- ช่วยเติมหลุมสิวให้ตื้นขึ้น
- ช่วยแก้ปัญหาผิวไม่ว่าจะเป็นร่องตาลึก ใต้ตาดำคล้ำ
- ช่วยปรับรูปหน้าเช่น ฉีดปากเกาหลี ปากกระจับ แก้ขมับตอบเป็นต้น
ฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวเหมาะกับใครบ้าง
- ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวหยาบกร้าน ผิวขาดความเรียบเนียน
- ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังทำแบบทันที
- ผู้ที่ต้องการแก้ความหย่อนคล้อยของผิว
- ผู้ที่ไม่มีประวัติการแพ้สาร Hyaluronic Acid หรือ HA
- สตรีที่ไม่ได้อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือช่วงให้นมบุตร
- ผู้ที่ไม่อยู่ภาวะเลือดหยุดไหลยาก
ตำแหน่งที่ใช้ฉีดปรับสภาพผิว
ในความจริงแล้วการฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวนั้นสามารถฉีดได้ทั่วใบหน้าหรือในตำแหน่งที่คนไข้ต้องการแก้ปัญหาได้เลย โดยควรเข้าปรึกษาหมอผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจฉีดทุกครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะตำแหน่งยอดนิยมที่หลาย ๆ คนเลือกฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว ดังนี้
- ทั่วใบหน้า: เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
- หน้าผาก: เพื่อลดเลือนริ้วรอย รอยย่นบริเวณหน้าผากและระหว่างคิ้ว
- หน้าแก้ม: ปรับผิวให้เรียบเนียน แก้รูขุมขนกว้าง
- รอบดวงตา: เป็นจุดที่มักเกิดริ้วรอย รอยย่นจากการแสดงสีหน้าได้ง่าย จึงช่วยลดริ้วรอย รอยตีนกาได้ดี
- รอบริมฝีปาก: ช่วยลดริ้วรอยรอบริมฝีปากอย่าง ร่องแก้ม ร่องน้ำหมากเป็นต้น
- ลำคอ: เป็นอีกจุดที่มักเจออาการผิวเหี่ยวย่นเมื่ออายุเริ่มมากขึ้น
- หลังมือ: ช่วยแก้ผิวเหี่ยวย่น แก้ปัญหาเส้นเลือดปูดที่หลังมือ
- หลุมสิว: ช่วยเติมหลุมสิวให้ตื้นขึ้น ปรับผิวให้เรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวเลือกใช้ยี่ห้อไหนดี
สำหรับการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวนั้นในความจริงแล้วสามารถใช้ได้ทุกยี่ห้อที่ผ่านการรับรองมาตรฐานของอย. ซึ่งในไทยตอนนี้มีให้เลือกมากกว่า 20 ยี่ห้อ แต่ก็ควรเลือกรุ่นที่มีเนื้อเหลว มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด ซึ่งที่กังนัมคลินิกเรามียี่ห้อฟิลเลอร์ให้เลือก 3 ยี่ห้อด้วยกัน ดังนี้
1. ยี่ห้อ Restylane
จากสัญชาติสวีเดน ผลิตขึ้นโดยเทคโนโลยี NASHA ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียด มีโมเลกุลเล็กและขนาดเท่ากัน ฉีดแล้วจึงเรียบเนียนไปกับผิวและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งรุ่นที่แนะนำคือ Restylane Vital Light
อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane เพิ่มเติม: ฟิลเลอร์ Restylane ดีไหม? เหมาะกับฉีดจุดไหน แตกต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร
2. ยี่ห้อ Juvederm
จากสัญชาติอเมริกา ผลิตขึ้นโดย Vycross เทคโนโลยี ทำให้เนื้อมีความยืดหยุ่น มีโมเลกุลขนาดเล็ก และยึดเกาะผิวได้ดี นอกจากนั้นยังเพิ่มความชุ่มชื้นได้อีกด้วย ซึ่งรุ่นที่แนะนำคือ Juvederm Volite เป็นต้น
อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ juvederm เพิ่มเติม: ฟิลเลอร์ Juvederm ดีไหม? แต่ละรุ่น เหมาะกับใคร? ใช้ฉีดจุดไหนบ้าง ?
3. ยี่ห้อ Belotero
เป็นยี่ห้อจากสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ผลิตโดย CPM เทคโนโลยี ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์เนื้อเจลที่มีความเรียบเนียน ซึ่งรุ่นที่แนะนำคือ belotero revive ที่มีจุดเด่นคือมีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid และ Glycerol ที่จะเข้ามาช่วยทำให้ผิวสามารถอุ้มน้ำได้มากกว่ากว่าเดิม ทำให้ผิวมีความโกลวฉ่ำ เล่นแสงแบบผิวกระจกนั่นเอง
อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ Belotero เพิ่มเติม: รู้จัก ฟิลเลอร์ Belotero มีกี่รุ่น แต่ละสี ใช้ฉีดแก้ปัญหาต่างกันอย่างไร?
ต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ cc ถึงจะเห็นผล
ในส่วนของปริมาณที่ฟิลเลอร์ที่ใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวเดิมของคนไข้แต่ละคน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มต้นอยู่ที่ 1 cc ก็สามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ดังนั้นก่อนทำจึงแนะนำคนไข้เข้าปรึกษาหมอเพื่อประเมินผลลัพธ์หลังการรักษาแบบคร่าว ๆ ว่าจะไปในแนวทางใดและจะต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์กี่ cc ถึงจะเพียงพอต่อปัญหาของเรา
อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ 1 cc ที่ละเอียดมากขึ้น: ฟิลเลอร์ 1 CC เยอะไหม? ปริมาณเท่าไหร่? แต่ละจุดฉีดกี่ CC ถึงเหมาะสม
ราคาค่าฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวแพงไหม
ในพาร์ทของราคาค่าใช้จ่ายนั้นจะมีความแตกต่างกันไป โดยจะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ๆ อย่าง ยี่ห้อที่เลือกใช้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ และราคาโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก ซึ่งถ้าหากเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เป็นสัญชาติจากฝั่งเอเชียอย่างเกาหลีก็อาจจะมีราคาที่ถูกกว่าจากฝั่งอเมริกายุโรป เป็นต้น
ซึ่งราคาโปรโมชั่นค่าฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวที่กังนัมคลินิกจะมีดังนี้
- ยี่ห้อ Restylane เริ่มต้น 1cc ราคา 8,623 บาท
- ยี่ห้อ Juvederm เริ่มต้น 1cc ราคา 10,999 บาท
- ยี่ห้อ Belotero revive เริ่มต้น 1cc ราคา 12,323 บาท
ดูราคาฉีดฟิลเลอร์เพิ่มเติม: ฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่? แต่ละตำแหน่ง และยี่ห้อราคาต่างกันไหม?
ฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวต่างกับฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปยังไง
ความแตกต่างของการฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวและการฉีดฟิลเลอร์แบบทั่วไปนั้นก็คือเทคนิคและตำแหน่งชั้นผิวที่ใช้ในการฉีด
- ฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว : จะฉีดในชั้นผิวชั้นตื้น โดยจะต้องใช้รุ่นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อนิ่ม หรือเนื้อเหลว มีขนาดโมเลกุลขนาดเล็กละเอียด
- ฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า : จะฉีดในชั้นผิวที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัญหา และจะสามารถเลือกใช้รุ่นฟิลเลอร์ได้ทั้งรุ่นเนื้อเหลวหรือเนื้อแข็งก็ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด เช่น หากฉีดใต้ตาจะต้องใช้เนื้อเหลว หากจะฉีดเสริมคางจะต้องใช้เนื้อแข็งหรือเนื้อหนืด
ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว VS เมโสหน้าใส
หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าทั้ง 2 หัตถการนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกตัวไหนดี ซึ่งเราจะขออธิบายเลยว่าทั้ง 2 หัตถการนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนี้
- ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว: ส่วนประกอบจะเป็น HA ที่จะเน้นเรื่องความชุ่มชื้น ปรับผิวให้เรียบเนียน ปรับรูขุมขนให้กระชับขึ้น โดยจะสามารถเห็นผลได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
- เมโสหน้าใส: จะมีส่วนประกอบที่หลากหลายขึ้นอยู่กับยี่ห้อและตัวยาที่ใช้ โดยเมโสจะเน้นช่วยบำรุงผิว แก้ปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น รอยดำ รอยแดง รอยสิว ปรับผิวให้กระจ่างใส ริ้วรอยเล็ก ๆ เป็นต้น โดยจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง และจะเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังทำไปแล้วประมาณ 1-2 วัน (อ่านเพิ่มเติม ฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) คือ? ช่วยอะไร ตอบทุกข้อสงสัยก่อนฉีดเมโสที่ควรรู้)
ซึ่งสำหรับใครที่ลังเลว่าควรจะเลือกตัวไหนดีระหว่างฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวหรือการฉีดเมโส นั้นจะก็ต้องดูความต้องการด้านผลลัพธ์ในเรื่องไหนบ้าง หากต้องการเรื่องผิวชุ่มชื้น เรียบเนียนก็จะเหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว แต่หากต้องการผลลัพธ์เรื่องผิวกระจ่างใส ลดรอยดำด้วยก็จะเหมาะกับการฉีดเมโส แต่ทั้งนี้ทั้ง 2 หัตถการสามารถทำร่วมกันได้ แต่ควรปรึกษาหมอผู้เชี่ยวชาญก่อนทำทุกครั้ง
ข้อควรระวังทั้งก่อนและหลังทำ
ก่อนทำ
- งดยาและวิตามินบางกลุ่ม เช่น ยาแก้ปวด แอสไพริน แปะก๊วย กิงโก๊ะ 1 สัปดาห์ก่อนฉีด
- งดการแว็กซ์ขนหรือสครับผิวเพื่อป้องกันการระคายเคืองผิวก่อนฉีด
- งดกิจกรรมที่กระตุ้นทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ออกกำลังกายอย่างหนัก
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ก่อนทำ 24 ชั่วโมง
- ศึกษาข้อมูลหัตถการ ข้อมูลคลินิกและข้อมูลหมอผู้ฉีดให้ถี่ถ้วนก่อนทำทุกครั้ง
หลังทำ
- งดจับ สัมผัสผิวในจุดที่ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- งดอยู่ในที่อากาศร้อน เพราะจะไปกระตุ้นการแสบคันผิว รวมไปถึงการออกกำลังกายกลางแจ้ง
- งดทำเลเซอร์ผิวหลังฉีดอย่างน้อย 1 เดือน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันเพื่อทำให้ฟิลเลอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่เพราะจะไปกระตุ้นอาการบวมของผิว
- หลังฉีด 24 ชั่วโมงสามารถทาครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ โดยควรทามอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
- หากมีอาการเจ็บสามารถทานยาแก้ปวดได้ตามคำแนะนำของหมอ
- ในกรณีที่หมอมีการจ่ายยาลดบวมควรทานอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของหมอ
คำถามเพิ่มเติม
ตอนฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวเจ็บมากไหม?
ในระหว่างที่ฉีดอยู่นั้นคนไข้บางคนอาจจะรู้สึกเจ็บได้เล็กน้อยหรือไม่รู้สึกเจ็บเลย เนื่องจากว่าในปัจจุบันฟิลเลอร์หลาย ๆ ยี่ห้อได้มีการใส่ส่วนผสมอย่างยาชาเข้ามาช่วยลดอาการเจ็บอยู่แล้ว นอกจากนั้นก่อนฉีดหมอจะใช้เทคนิคประคบเย็นเพื่อให้ผิวชาก่อนลงเข็ม
ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวกี่วันถึงจะเห็นผล?
การฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวนั้นคนไข้สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เลยทันทีหลังฉีด แต่หลังจากฉีดไป 1 วันในบางรายอาจมีอาการบวมเกิดขึ้นได้ ซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อย ๆ หายไปภายใน 3-5 วันแต่หากจะให้ผลลัพธ์อย่างชัดเจนจะอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์หลังทำซึ่งจะเป็นช่วงที่เนื้อฟิลเลอร์เข้าที่เรียบร้อยแล้ว
หลังฉีดกี่วันถึงจะแต่งหน้าได้?
หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวไปครบ 24 ชั่วโมงแล้วนั้นคนไข้สามารถแต่งหน้าหรือทาครีมได้ตามปกติ แต่อาจจะต้องแต่งด้วยความระวัง ไม่ลงน้ำหนักแรงเกินไปเพราะอาจจะเจ็บในจุดที่มีรอยเข็มได้
หลังฉีดจะมีอาการบวมหรือไม่?
อาการบวมหลังฉีดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติของหัตถการฉีดผิว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีอาการบวมไม่ได้รุนแรงมากนัก และจะหายไปเองภายใน 3-5 วันโดยคนไข้สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวได้
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวนั้นคือการฉีดสาร HA หรือ Hyaluronic Acid เพื่อเข้าไปช่วยในการปรับผิวให้มีความชุ่มชื้น และเรียบเนียนขึ้น โดยจะเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อเหลว มีโมเลกุลขนาดเล็กและจะฉีดด้วยเทคนิคในการฉีดในผิวชั้นตื้น ทำให้ฟิลเลอร์สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในชั้นผิวได้เป็นอย่างดี ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวนั้นจะสามารถฉีดได้หลายตำแหน่งหรือจะฉีดทั่วใบหน้า ลำคอ และหลังมือก็ได้เช่นกัน
สำหรับใครที่สนใจอยากจะรับบริการฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวหรือต้องการทราบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับหัตถการเพิ่มเติมนั้นสามารถติดต่อหรือสำรองคิวกับทางกังนัมคลินิกได้ทาง Line : @gangnamclinic
แหล่งอ้างอิงของข้อมูล
Skin care clinics, dermal filler treatment.
https://skincareclinicsuk.com/dermal-filler-treatment/
Americanboardcosmeticsurgery, injectable fillers guide.
https://www.americanboardcosmeticsurgery.org/procedure-learning-center/non-surgical/injectable-fillers-guide/