ฟิลเลอร์ Juvederm ดีไหม? แต่ละรุ่น เหมาะกับใคร? ใช้ฉีดจุดไหนบ้าง?
บทความนี้จะนำข้อมูล ฟิลเลอร์ Juvederm มาให้คนไข้ได้อ่านก่อนตัดสินใจกันค่ะเป็นฟิลเลอร์ยอดฮิตที่หลายนิยมฉีดกัน ออนนี่เองจิ้มฟิลเลอร์ครั้งแรกก็ยี่ห้อนี้ค่ะ หลายคนน่าจะพอทราบแล้วว่าฟิลเลอร์จูวีเดิมร์ เป็นยี่ห้อฟิลเลอร์อเมริกานำเข้าโดยบริษัท Allergan Thailand (DSKH) บริษัทชั้นนำการผลิตอุปกรณ์และวัสดุทางการแพทย์ระดับโลก สำหรับ Juvederm ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา(อย.ไทย) บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยกันว่าการฉีด Juvederm ดีมั้ย? มีกี่รุ่น ? ราคาเท่าไหร่? กังนัมคลินิกจะมาเล่าแต่ละรุ่นของฟิลเลอร์จูวีเดิร์มนี้ให้ฟังกันค่ะ
ฟิลเลอร์หลักที่ใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก จะมี 2 ยี่ห้อที่หลายคนรู้จักกันดี นั่นคือ Restylane และ Juvederm นอกจากนี้ยังมียี่ห้ออื่นๆที่ได้รับการรับรองจาก อย.แล้วว่าสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย สำหรับกังนัมคลินิกแพทย์ทุกท่านลงความเห็นว่า ฟิลเลอร์สองยี่ห้อหลักที่ฉีดได้ผลดี อยู่ได้นาน มีการกระจายตัวยาได้ดี ผลข้างเคียงน้อยที่สุด คือ Restylane และ Juvederm
ที่มาของฟิลเลอร์ Juvederm คือ
Juvederm คือ ฟิลเลอร์ยี่ห้อยอดนิยมอันดับหนึ่งที่ได้รับรองมาตรฐานจาก FDA ทั้งในไทยและอเมริกา Juvederm อ่านว่า จู-วี-เดิร์ม เป็นฟิลเลอร์ของประเทศ อเมริกา บางคนอาจเรียกว่า ฟิลเลอร์เมกา นั่นเอง นำเข้าโดยบริษัท Allergan Thailand ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านเครื่องมือและยาทางการแพทย์ระดับโลก
เทคโนโลยีการผลิตฟิลเลอร์ Juvederm
ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นจะใช้เทคโนโลยีในการผลิตแตกต่างกัน ทำให้ลักษณะทางกายภาพของฟิลเลอร์แต่ละรุ่นแตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมกับการฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาจุดต่างๆบนใบหน้าได้อย่างครอบคลุมที่สุด สำหรับเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะของฟิลเลอร์ Juvederm มี 2เทคโนโลยีหลัก ที่ทำให้ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นต่างกัน ดังนี้
- เทคโนโลยี Hylacross
จุดเด่น : มีค่าความอุ้มน้ำและความยืดหยุ่นสูง เนื้อละเอียดเนื้อฟู ฉีดแล้วผิวเรียบเนียนมีความยืดหยุ่น เหมาะสำหรับฉีดในบริเวณร่องลึกที่มีการขยับแสดงสีหน้า ยังคงแสดงสีหน้าได้อย่างธรรมชาติ เช่น ร่องแก้ม
ฟิลเลอร์รุ่นที่ใช้เทคโนโลยี : Hylacross ในการผลิต : Ultra Plus - เทคโนโลยี Vycross
จุดเด่น : คุณสมบัติเด่น เรื่องยึดเกาะได้ดีและเด่นด้านการยกกระชับ เหมาะสำหรับเติมเพื่อสร้างวอลลุ่ม เช่น ริมฝีปาก ร่องแก้มที่ไม่ลึก
ฟิลเลอร์รุ่นที่ใช้เทคโนโลยี : Vycross ในการผลิต: Volite, Voluma, Volift และ Volbella
ฟิลเลอร์ Juvederm ฉีดส่วนไหนได้บ้าง
ในความจริงแล้วฟิลเลอร์ Juvederm นั้นมีด้วยกันทั้งหมด 7 รุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นต่างก็เหมาะกับการใช้ฉีดได้หลายจุดไม่ว่าจะเป็น ฉีดใต้ตา, ปาก, ร่องแก้ม, คาง, จมูก, ขมับหรือบริเวณหน้าผากนั่นเอง
ฟิลเลอร์ Juvederm แต่ละรุ่น เหมาะกับฉีดจุดไหนบ้าง ราคาเท่าไหร่
1. ฟิลเลอร์ Juvederm รุ่น Ultraplus
ใช้เทคโนโลยี Hylacross ในการผลิต จุดเด่นของฟิลเลอร์ Juvederm Ultraplus
อายุยายาวนาน 12 เดือน
- เนื้อเจลมีความฟู ละเอียดแน่น ฉีดแล้วไม่ไหล มีความคงตัวสูง
- เหมาะกับการเติมฉีดเพื่อปรับรูปหน้า
- เนื้อเจลฟิลเลอร์มีความคงตัวแต่ยืดหยุ่น ทำให้หลังฉีดไม่เป็นก้อน มีความธรรมชาติหลังฉีด
บริเวณที่เหมาะในการฉีด Juvederm Ultraplus
- ร่องแก้มที่ลึกมากๆ
- ขมับหรือแก้มที่ตอบ
- ฉีดเพื่อเติมคางปรับรูปหน้า
2. ฟิลเลอร์ Juvederm รุ่น voluma
ใช้เทคโนโลยี Vycross ในการผลิต เป็นรุ่นที่ผลิตมาเพื่อเติมวอลลุ่มหรือมิติของใบหน้าโดยเฉพาะ เป็นรุ่นที่อายุยายาวนานที่สุดคือ 18 เดือน แต่ทั้งนี้ขึ้นกับเทคนิคการฉีดของคุณหมอแต่ละท่าน. จุดเด่นของฟิลเลอร์ Juvederm voluma
- เทคโนโลยีการผลิต Vycross มีจุดเด่นด้านการฉีดเพื่อยกกระชับด้วย
- เนื้อฟิลเลอร์มีความแน่น เรียบเรียน ยึดเกาะได้ดี ขนาดโมเลกุลใหญ่ที่สุด
บริเวณที่เหมาะในการฉีด Juvederm รุ่น Voluma
- ฉีดเติมร่องแก้ม แก้มลูกส้ม เพื่อยกกระชับกรณีมีปัญหาแก้มหย่อนคล้อย
- ฉีดริมฝีปากอวบอิ่ม
- ฉีดคางเพื่อปรับรูปหน้า
- ฉีดเติมชั้นผิวที่หย่อนคล้อยให้ดูกระชับขึ้น
3. ฟิลเลอร์ Juvederm รุ่น volift
ใช้เทคโนโลยี Vycross ในการผลิต อายุยายาวนาน 12 เดือนจุดเด่นของฟิลเลอร์ Juvederm volift
- เนื้อยานิ่มและละเอียด เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียดในริ้วรอยบางๆ
- ตัวยาจะบางเบากว่ารุ่น Ultraplus เหมาะกับคนไข้ผิวบาง หลังฉีดจะไม่เป็นก้อน เรียบเนียนไปกับผิว
บริเวณที่เหมาะในการฉีด Juvederm รุ่น volift
- เน้นฉีดเติมรายละเอียด เติมร่องลึกบางๆ ริ้วรอยเล็กๆ ที่ไม่ลึกมาก
- ฉีดเติมใต้ชั้นผิวให้ดูอิ่มน้ำ
- ฉีดร่องลึกริมฝีปากให้อวบอิ่ม
4. ฟิลเลอร์ Juvederm รุ่น volbella
ใช้เทคโนโลยี Vycross ในการผลิต อายุยาอยู่ได้นาน 12 เดือน จุดเด่นของฟิลเลอร์ Juvederm volbella คือ
- เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียดและนิ่มมากที่สุด
- ค่าความคงตัวสูง ยึดเกาะได้ดี
- ฉีดเข้าผิวได้ง่าย ไม่เป็นก้อน มีการกระจายตัวได้ดี
- หลังฉีดจะดูธรรมชาติเรียบเนียนไปกับผิว
บริเวณที่เหมาะในการฉีด Juvederm รุ่น volbella
- ฉีดเติมเต็มหน้าผาก
- ฉีดเก็บริ้วรอยบริเวณที่ผิวบางได้ เช่น ใต้ตา
5. ฟิลเลอร์ Juvederm รุ่น Volite
ใช้เทคโนโลยี Vycross ในการผลิต อายุอยู่ได้นาน 8-12 เดือน จุดเด่นของฟิลเลอร์ Juvederm Volite คือ
- ฟิลเลอร์เนื้อบางเบา เรียบเนียน
- เติมความอิ่มฟูและความชุ่มชื้นให้ผิว
- เหมาะสำหรับคนไข้ผิวบาง หรือฉีดในบริเวณที่มีผิวบอบบาง จะเรียบเนียนไม่เป็นก้อน
บริเวณที่เหมาะในการฉีด Juvederm รุ่น Volite
- ฉีดลดใต้ตาคล้ำ ลดริ้วรอยใต้ตา ให้กลับมาเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ
- ฉีดเติมปากให้เป็นทรงอวบอิ่มพร้อมเพิ่มความชุ่มชื้น แก้ไขปากแตก แห้ง ลอก
6. ฟิลเลอร์ Juvederm รุ่น Volux
เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นด้วยใช้เทคโนโลยี Vycross ในการผลิตตัวล่าสุด อายุอยู่ได้นาน 18-24 เดือน จุดเด่นของฟิลเลอร์ Juvederm Volite คือ
- เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็ง มีโมเลกุลขนาดใหญ่
- เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูงคงรูปได้ดี
- ทำให้สามารถฉีดปั้นรูปทรงได้ดี ฉีดแล้วดูเป็นธรรมชาติ
บริเวณที่เหมาะในการฉีด Juvederm รุ่น Volux
- ฉีดคาง ใต้ตา แก้ใต้ตาคล้ำ ใต้ตาลึก
- ฉีดเติมขมับให้เติม แก้ปัญหาขมับตอบจนดูมีอายุ
- ฉีดเติมร่องแก้มชั้นลึก เพื่อปรับหน้าให้อ่อนเยาว์ขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ Juvederm จะมีผลข้างเคียงไหม
การฉีดฟิลเลอร์ Juvederm นั้นก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้เหมือนกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่อาการมักจะเป็น อาการบวม มีรอยแดง รอยเข็ม ถือเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ตามปกติกับหัตถการฉีดฟิลเลอร์ผิว โดยจะเป็นเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์อาการเหล่านั้นก็จะค่อยๆ หายไปเอง
แต่ในกรณีที่เกิดการไหลของเนื้อฟิลเลอร์ที่ไปรวมตัวเป็นก้อนอยู่ใต้ชั้นผิวนั้นถือว่าเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับการฉีดกับหมอที่ไม่มีประสบการณ์มากพอ หรือฉีดด้วยฟิลเลอร์ Juvederm ของปลอมที่ไม่ได้มาตรฐานนั่นเอง
เปรียบเทียบ Juvederm และ restylane ควรเลือกฉีดตัวไหนดี?
ก่อนจะเลือกฉีดตัวไหนดี? เรามาดูสิ่งที่เหมือนกัน และต่างกันของฟิลเลอร์ทั้งสองยี่ห้อนี้ก่อนค่ะ จุดที่เหมือนกันของฟิลเลอร์ทั้งสองยี่ห้อคือ
- ฟิลเลอร์ทั้งสองยี่ห้อ มีส่วนผสมของ Lidociane ซึ่งเป็นยาชา ผสมในเนื้อเจลฟิลเลอร์ ช่วยระงับความเจ็บปวดขณะฉีดอยู่แล้ว ดังนั้น คนไข้ไม่จำเป็นต้องฉีดยาชาหรือแปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ทั้งสองยี่ห้อถูกออกแบบให้มีรุ่นที่ที่หลากหลายเพื่อเหมาะกับการฉีดเฉพาะจุดของใบหน้า มีขนาดโมเลกุล ค่าคงตัว ค่าความอุ้มน้ำต่างๆ ครอบคลุมทุกปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่างๆ
- ฟิลเลอร์ทั้งสองยี่ห้อถูกใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก มีการใช้ในคนไข้เป็นจำนวนมาก ทำให้สามารถยืนยันได้ว่า เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด จัดว่าเป็นฟิลเลอร์ที่มีความปลอดภัยสูงสุดหากได้รับการฉีดโดยแพทย์เชี่ยวชาญ จะมีผลข้างเคียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้ คือ รอยแดง รอยช้ำ หลังการฉีดซึ่งเป็นอาการชั่วคราว
ข้อมูลเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์ Restylane ดีไหม? เหมาะกับฉีดจุดไหน แตกต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร
ความแตกต่างด้านผลลัพธ์หลังการฉีด
- Juvederm มีผลลัพธ์โดยเฉลี่ยยาวนาน 12-18 เดือน จุดเด่นเหมาะกับการฉีดร่องลึกใต้ตา ริ้วรอยเล็กๆ รวมถึงริ้วรอยริมฝีปากได้ดีกว่า Restylne
- Juvederm จะเห็นผลลัพธ์หลังการฉีดได้เร็วกว่า Restylane และในบางเคสตัวยาของจูวีเดิร์มจะอยู่ได้ยาวนานกว่า
อ้างอิงข้อมูลจาก : American Society for Aesthetic Plastic Surgery
รีวิวคนไข้จริงที่ฉีดฟิลเลอร์ Juvederm ที่กังนัมคลินิก
โดยปกติแล้วราคาต้นทุนของฟิลเลอร์ Juvederm จะสูงกว่า Restylane เล็กน้อย แต่กังนัมคลินิกขายทั้งสองยี่ห้อนี้ในราคาที่เท่าๆกัน เพื่อให้แพทย์ได้เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับคนไข้ที่สุด ทั้งนี้ในแต่ละเคสจะเหมาะกับการฉีดยี่ห้อไหน รุ่นไหน ขึ้นกับแพทย์เชี่ยวชาญประเมิน เพราะทั้งสองยี่ห้อถูกออกแบบให้มีหหลากหลายรุ่นเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด สามารถนัดพบปรึกษาแพทย์ประจำกังนัมคลินิกได้ทุกสาขา
ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ Juvederm มีอะไรบ้าง
อาการหลังฉีดฟิลเลอร์ Juvederm นั้นเบื้องต้นจะมีอาการบวม แดง หรือมีอาการปวดในจุดที่ฉีดเพียงเล็กน้อย ซึ่งสามารถใช้การประคบเย็นเข้าช่วยเพื่อลดอาการดังกล่าวได้ และอาการดังกล่าวไม่ได้มีความอันตรายใดๆ โดยจะหายไปเองภายใน 1-3 วันหลังฉีด
ฟิลเลอร์ Juvederm อันตรายไหม
การฉีดฟิลเลอร์ Juvederm นั้นไม่มีความอันตรายใดๆ เลยเนื่องจากตัวฟิลเลอร์ได้มีการใช้เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของทางแบรนด์ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์ที่มีความบริสุทธิ์สูงใกล้เคียงกับสารไฮยาลูรอนิคในร่างกายจึงลดโอกาสแพ้ระคายเคืองได้ดี และฟิลเลอร์ Juvederm เองก็ได้มีการรับรองความปลอดภัยจาก US FDA และอย. ไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ควรเข้ารับการฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวและไม่ควรฉีดกับหมอกระเป๋าอย่างเด็ดขาด
ฟิลเลอร์ Juvederm ราคาเท่าไหร่
ราคาค่าบริการสำหรับฉีดฟิลเลอร์ Juvederm นั้นจะเป็นราคาต่อซีซี ซึ่งแต่ละคลินิกก็จะมีราคาโปรโมชั่นที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่กังนัมคลินิกเรามีโปรโมชั่นดังนี้
- ฟิลเลอร์ Juvederm 1 ซีซี ราคา 10,639-15,000 บาท
- ซื้อ 2 ซีซี รับส่วนลด 1,000 บาท/ 1 ซีซี
- ซื้อ 3 ซีซี รับส่วนลด 1,500 บาท/ 1 ซีซี
วิธีเช็คฟิลเลอร์ Juvederm ของแท้
- ในกล่องฟิลเลอร์จะต้องมีเลขทะเบียนและเอกสารกำกับภาษาไทย
- ตรวจสอบเลข Lot ที่ผลิตโดยจะต้องเป็นตัวเลขที่ตรงกันทั้งหมด 4 จุดคือ ที่กล่อง ที่สติกเกอร์ ที่หลอด ที่ซอง
- นำเลข Lot ที่ผลิตไปตรวจสอบกับทางบริษัทผู้จัดจำหน่ายได้ทาง บริษัท แอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์ Juvederm ถือเป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่แพทย์หลายๆ คนแนะนำเนื่องจากเป็นยี่ห้อที่มีการถูกใช้ในหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนั้นยังมีความปลอดภัยและสามารถใช้ฉีดแก้ปัญหาได้หลายจุดไม่ว่าจะเป็นใต้ตา ร่องแก้ม คาง จมูก ปากและขมับ และสำหรับใครที่กำลังมองหาคลินิกในการฉีดฟิลเลอร์ Juvederm สามารถเข้ามสอบถามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line : @gangnamclinic หรือที่กังนัมคลินิกทุกสาขาใกล้บ้าน