หลุมสิว เกิดจากอะไร มีกี่แบบ ใช้วิธีรักษาต่างกันไหม?
เรื่องหลุมสิวถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่กวนใจ เพราะนอกจากจะทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน จนไม่มีความมั่นใจแล้วยังรักษายากอีกต่างหาก ดังนั้นเราจึงจะมาพูดถึงสาเหตุของหลุมสิวว่าเกิดมาจากอะไร และมีวิธีรักษาอย่างไรให้หลุมสิวหายไปแบบเร่งด่วน
หลุมสิว คืออะไร
หลุมสิว (Atrophic Scars) ถือเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นหลังจากกระบวนการสมานแผลไม่สมบูรณ์เนื่องจากคอลลาเจนในชั้นผิวไม่เพียงพอต่อการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทนเนื้อเยื่อเก่า ส่งผลทำให้มีลักษณะทิ้งเป็นรอยหลุมสิวทำให้เกิดผิวเกิดเป็นรอยบุ๋ม ส่งผลให้ผิวเกิดความไม่เรียบเนียน
ซึ่งหลุมสิวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากรอยแผลของสิวเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นหลังจากเป็นอีสุกอีใส การจี้หรือผ่าเอาไฝออก ผ่าตัดด้วยเทคนิค Mohs ได้อีกด้วย
สาเหตุหลักๆของ หลุมสิว เกิดจากอะไร
หลุมสิวเกิดจากการที่เซลล์ผิวของเรารักษาตัวเองจากการเป็นสิวได้ไม่เต็มที่จนทำให้ผิวส่วนนั้นเกิดการยุบตัวลงไปโดยมีสาเหตุขึ้นได้จากหลายปัจจัย อาทิเช่น
- การรักษาสิวที่ผิดวิธี : ไม่ว่าจะเป็นการกดสิว การบีบสิว ส่งผลให้เม็ดสิวเกิดอาการอักเสบหนักกว่าเดิม ซึ่งก็ส่งผลให้มีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นประเภทหลุมสิวได้ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย
- เกิดจากแบคทีเรียสิวทำลายเซลล์ผิวโดยรอบ : ปัจจัยนี้มักเกิดการสิวประเภทสิวอักเสบหรือสิวหัวช้าง ที่มีความอักเสบในระดับรุนแรง
- บาดแผลจากอีสุกอีใส หรือเกิดขึ้นหลังจากผ่าตัดต่างๆ อย่างการจี้ไฝ เป็นต้น
ซึ่งหลุมสิวสามารถเกิดขึ้นได้หลายจุดหลายตำแหน่งอาทิเช่น บริเวณจมูก หน้าแก้ม คาง หน้าผาก ซึ่งแต่ละตำแหน่งก็จะมีระดับความยากง่ายในการรักษาที่ต่างกัน
สิวแบบไหนที่ทำให้เกิดหลุมสิว
ประเภทของเม็ดสิวที่ส่งผลต่อการเกิดหลุมสิวนั้นที่พบบ่อยๆ จะมีด้วยกันถึงประเภทสิว ซึ่งนั้นก็คือประเภทสิวหัวช้างและสิวอักเสบ
- สิวหัวช้าง (Cyst)
ลักษณะของสิวคือเป็นตุ่มบวม เมื่อกดหรือสัมผัสจะรู้สึกเหมือนมีเม็ดไตแข็งๆ อยู่ใต้ชั้นผิว โดยสิวประเภทนี้มีทั้งแบบมีหัวและไม่มีหัว โดยมีสาเหตุการเกิดมาจากอาการอักเสบของต่อมไขมันใต้ผิวหนังจนทำให้เกิดการบวมและอักเสบขึ้น ซึ่งวิธีรักษาสิวประเภทนี้คือการทานยาปฏิชีวนะร่วมกับทายา Benzoyl peroxide และเป็นสิวที่ไม่ควรกดหรือบีบเองอย่างเด็ดขาดเพราะเสี่ยงต่อการอักเสบที่มากกว่าเดิมได้สูง - สิวอักเสบ (Pustule)
สิวอักเสบ มีสาเหตุเกิดจากการอุดตันส่วนบริเวณรูขุมขน ที่เกิดจากการสะสมของไขมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเชื้อแบคทีเรียอย่าง C.acnes ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มักพบได้ที่ส่วนบริเวณต่อมไขมัน ซึ่งทั้ง 3 ตัวการนั้นได้เกิดการหมักหมมกันและไปกระตุ้นจนทำให้เกิดสิวอักเสบเป็นหนองในที่สุด โดยหนองของสิวอักเสบนี่แหละที่จะเข้าไปทำลายเซลล์ผิวและคอลลาเจนในผิวจนทำให้เกิดหลุมสิวขึ้นในที่สุดนั่นเอง และวิธีการรักษาสิวประเภทนี้คือการใช้ยาแต้มสิวที่มีสารช่วยฆ่าเชื้อสิว
หลุมสิว มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร
หากจะให้จำแนกประเภทของหลุมสิวก็ต้องบอกเลยว่ามีด้วยกันทั้งหมด 3 ประเภทด้วย ซึ่งแต่ละประเภทต่างก็จะมีรูปร่างลักษณะและระดับความยากง่ายในการรักษาที่แตกต่างกันดังนี้
ระดับที่มีความรุนแรงสูงสุด Ice Pick Scars (หลุมจิก)
เป็นหลุมสิวประเภทที่ฐานของหลุมสิวที่ลึกและปากแคบคล้ายกับลักษณะของกรวยที่มีส่วนปลายจิกเข้าไปยังชั้นผิวด้านใน นอกจากนั้นยังมีขอบของหลุมสิวที่ไม่เรียบมีขนาดไม่เกิน 2 มิลลิเมตร จึงทำให้เป็นประเภทหลุมสิวที่มีระดับการรักษาที่ยากที่สุด
ระดับที่มีความรุนแรงปานกลาง Boxcar Scar (หลุมกล่อง)
หลุมสิวประเภทนี้จะมีรอยแผลที่มีปากแผลและฐานของแผลที่กว้าง มีลักษณะเป็นแอ่งคล้ายกล่อง ระดับความลึกจะมีทั้งแบบตื้นและลึกประมาณ 3-5 มิลลิเมตร แต่สวนฐานแผลจะมีผิวที่ค่อนข้างแข็งตึงบางรายอาจมีพังผืดร่วมด้วย หลุมสิวประเภทนี้มีสาเหตุมาจากการอักเสบของผิวชั้นลึก รวมไปถึงโรคอีสุกอีใส
ระดับทั่วไป Rolling Scar (หลุมแอ่งกระทะ)
หลุมสิวประเภทนี้มีปากแผลที่กว้าง มีรูปร่างคล้ายแอ่งกระทะที่เป็นเหมือนทางลาดลงไปในชั้นผิว แต่มีฐานของแผลที่คลื่น ไม่เรียบเนียน แต่ไม่แข็งทำให้และมีความตื้น จึงทำให้เป็นประเภทหลุมสิวที่รักษาได้ง่ายที่สุด
การรักษาหลุมสิว มีกี่วิธี เลือกอย่างไรให้เหมาะสม
หลังจากที่เราทราบถึงสาเหตุและปัญหาของการเกิดหลุมสิวกันไปแล้ว จากนี้เรามาดูกันบ้างว่ามีวิธีการรักษาหลุมสิวด้วยตนเองวิธีไหนบ้าง ซึ่งในปัจจุบันการรักษาหลุมสิวนั้นนอกจากจะสามารถทำได้ด้วยตนเองตามวิธีข้างต้นที่กล่าวแล้ว ก็ยังมีหัตถการทางการแพทย์อีกหลายอย่างที่มีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาหลุมสิวได้อีกด้วย
1. ทานวิตามิน
ไม่ว่าจะเป็นวิตามินกลุ่มประเภท B5 หรือ Zinc แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเริ่มเห็นผล นอกจากนั้นยังอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเช่น อาการผิวแห้ง ปากแห้ง และหากไปทานไปนานๆ ก็จะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาวได้ ดังนั้นก่อนจะเริ่มทานควรทำการปรึกษาแพทย์หรือทานภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกร
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยผลัดเซลล์ผิว
ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสาร AHA, BHA, PHA วิธีนี้จะเป็นการเร่งการผลัดเซลล์ชั้นนอกให้ค่อยๆ หลุดออกไปจนทำให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นขึ้นซึ่งวิธีนี้เหมาะกับหลุมสิวประเภท Rolling Scar หรือหลุมแอ่งกระทะ
3. ใช้กลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ
อาทิเช่น Retin A หรือ Retinoic acid เป็นสารในกลุ่มเบต้าแคโรทีน (beta carotene) สามารถพบได้ตามธรรมชาติ ที่มักถูกใช้ในการรักษาสิว รักษาริ้วรอย และรักษาฝ้ากระ จุดด่างดำ เพราะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวและทำให้ผิวมีความเรียบเนียนจนหลุมสิวค่อยๆ ตื้นและจางหายไป
4. ทาครีมลดรอยหลุมสิว
ในปัจจุบันมีครีมรักษารอยแผลเป็นหลายๆ ยี่ห้อที่ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ลบรอยแผลเป็นที่มีส่วนผสมของวิตามินอี, AHA และ BHA ที่นอกจากจะช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้แล้วยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้อีกด้วย
5. เลเซอร์รักษาหลุมสิว
เป็นวิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะตัวแสงเลเซอร์จะเข้าไปทำงานในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมเซลล์ผิวที่สึกหรอได้โดยตรงซึ่งจะทำให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำและจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากทำติดต่อกัน 3-5 ครั้งขึ้นไป โดยในปัจจุบันเครื่องเลเซอร์ที่ช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ Pico Laser ราคาค่าใช้จ่าย : 5,000-10,000 บาทต่อครั้ง
อ่านเพิ่มเติม : เลเซอร์หลุมสิว เหมาะกับใคร? เลือกทำแบบไหนดี?
6. ใช้คลื่นวิทยุ RF (Radiofrequency)
เป็นการใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF) ในการส่งพลังงานผ่านหัวเลเซอร์ Micro-needle ที่สามารถลงได้ลึกถึงชั้นผิวได้ถึง 3.5 mm ทำให้พลังงานเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ทำลายเซลล์ผิวชั้นนอกทำให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นขึ้น ราคาค่าใช้จ่าย : 8,000-10,000 บาทต่อครั้ง
7. ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เติมหลุมสิว
การฉีดฟิลเลอร์เติมหลุมสิวคือการฉีดสารไฮยาลูรอนิก เอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปเติมเต็มชั้นผิวที่มีการยุบตัวลงให้ตื้นขึ้น ซึ่งวิธีนี้มีข้อดีคือสามารถเห็นผลได้แบบทันที แต่จะเป็นการรักษาหลุมสิวแบบไม่ถาวรเนื่องจากอายุของฟิลเลอร์จะอยู่ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี ซึ่งคนไข้จะต้องมาเติมฟิลเลอร์เพื่อคงผลลัพธ์
ราคาค่าใช้จ่าย : 8,000-15,000 บาทขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณเนื้อฟิลเลอร์ที่ใช้
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เหมาะกับใช้ฉีดเติมเต็มหลุมสิวแบบไหน? ฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล
8. ฉีดรีจูรัน (Rejuran) กระชับหลุมสิว
การฉีดคืออีกหนึ่งหัตถการมาแรงอย่างมากในตอนนี้ โดยตัวรีจูรันหรือรีจูรัน ฮีลเลอร์ (Rejuran Healer) มีหลักการฉีดคล้ายๆ กับกลุ่มฉีดเมโส ซึ่งตัวยาจะมีส่วนประกอบไปด้วยพอลินิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide) ที่มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมผิวในระดับลึก ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดการสร้างตัวใหม่ ช่วยฟื้นฟูบาดแผล (Wound healing) ช่วยแก้ปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพจากอายุที่มากขึ้น (Aging Skin) ช่วยทำให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นและปรับผิวให้มีความกระชับอ่อนเยาว์ มีผิวหน้าเนียนใส Glass Skin ซึ่งวิธีนี้ต้องทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 4 ครั้งขึ้นไปถึงจะเริ่มเห็นผลที่ชัดเจน
ราคาค่าใช้จ่าย :
- รีจูรัน 1 ไซริ้งค์ ราคา 8,990 บาท
- รีจูรัน 5 ไซริ้งค์ ราคา 42,500 บาท
- รีจูรัน 10 ไซริ้งค์ ราคา 75,000 บาท
อ่านเพิ่มเติม : รีจูรัน (Rejuran) คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
9. การศัลยกรรมผ่าตัดหลุมสิว (Punch Excision & Grafting)
ศัลยกรรมผ่าตัดหลุมสิว (Punch Excision & Grafting) เป็นวิธีที่สามารถรักษาหลุมสิวได้เพียงครั้งเดียวและเห็นผลได้ทันทีหลังทำ ซึ่งการผ่าตัดหลุมสิวสามารถแบ่งย่อยได้อีก 4 วิธี คือ
- Punch excision คือการผ่าตัดรอยหลุมสิวทิ้งออก แล้วเย็บแผลให้ติดกันใหม่อีกครั้ง เหมาะกับหลุมสิวแบบ Box scar และ Ice pick scar
- Punch elevation คือการผ่าตัดหลุมสิวโดยยกเนื้อเยื่อบริเวณฐานหลุมสิวขึ้นมาให้เท่ากับเนื้อผิวปกติและเย็บเนื้อให้ติดกับเนื้อผิวโดยรอบเพื่อให้เซลล์ผิวเกิดการสมานแผลจนมีผิวที่เรียบเนียนในที่สุด เหมาะกับหลุมสิวแบบ Box scar
- Punch grafting คือการผ่าตัดปิดหลุมสิวโดยนำเอาเนื้อจากส่วนอื่นของมาทดแทน และทำการเย็บแผลเพื่อให้เนื้อเยื่อที่นำมาเติบโตเต็มหลุมสิว เหมาะกับหลุมสิวแบบ Box scar และ Ice pick scar
- Elliptical excision คือการผ่าตัดหลุมสิวให้เป็นรูปวงรีและจัดการเย็บแผลให้ติดกันใหม่เพื่อให้ผิวเกิดการสมานกันแบนสนิท
ราคาค่าใช้จ่าย : จุดละ 500-3,000 บาท
10. ใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling)
เป็นการใช้กรด TCA (Trichloroacetic Acid) ที่มีส่วนช่วยในการเร่งเซลล์ผิวใหม่ทำให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นขึ้นแต่วิธีนี้ก็ถือว่ามีความรุนแรงอย่างมากเพราะอาจก่อให้เกิดอาการเจ็บแสบ หรือรู้สึกร้อนผิวอย่างรุนแรงและที่สำคัญควรรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ไม่ควรหาซื้อยามาใช้เองอย่างเด็ด
ราคาค่าใช้จ่าย : 2,000-5,000 บาทต่อครั้ง
11. ฉีดเมโส (Meso) แก้หลุมสิว
การฉีดเมโสรักษาหลุมสิว (Mesotherapy) เป็นการฉีดสารสกัดชนิดต่างๆเข้าไปยังชั้นผิวเพื่อให้ผิวสามารถรับสารบำรุงต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและเต็มที่กว่าการทาครีมหรือทานอาหารเสริม โดยตัวยาจะมีสารที่มีช่วยในการฟื้นฟูผิวซ่อมแซม คอลลาเจนในผิวและเซลล์เนื้อเยื่อซึ่งวิธีนี้นอกจากจะช่วยเรื่องหลุมสิวแล้วยังช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ ได้ดีไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้ผิวเนียนกระจ่างใส ให้รูขุมขนกระชับ เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก้ผิวแต่มีข้อเสียคือจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง 5 ครั้งขึ้นไปถึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์เรื่องหลุมสิว ราคาค่าใช้จ่าย : 2,000-5,000 บาทต่อครั้ง
12. กรอหน้าหลุมสิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Dermabrasion)
เป็นวิธีการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี คือการใช้เกล็ดอัญมณีในการกรอผิวหนังส่วนหนังกำพร้า (Epidermis) ทำให้หลุมสิวมีความตื้นขึ้นทีละนิดจนจางหายไปวิธีนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ต้องใช้ระยะเวลาในการทำหลายครั้งจึงจะเห็นผลที่ชัดเจน และเป็นวิธีที่เหมาะกับหลุมสิวประเภท Rolling scar และ Box scar
ราคาค่าใช้จ่าย : 500-3,000 บาทต่อครั้ง
13. ทำ Microneedling แก้หลุมสิว
Microneedling คืออีกหนึ่งวิธีในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวโดยมีหลักการทำงานคือการใช้เข็มขนาดเล็ก (Microneedle) หลายๆ เข็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางของเข็มประมาณ 0.5-2.5 มิลลิเมตรทิ่มเข้าไปในจุดที่เป็นหลุมสิวทำให้เกิดเป็นแผลเล็กๆ และปล่อยรอให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการสมานแผลอีกครั้งจนหลุมสิวหายไป
ราคาค่าใช้จ่าย : 3,000.15,000 บาทต่อครั้ง
12. การทำ Subcision
วิธีนี้จะใช้การสอดเข็มเข้าไปยังใต้ชั้นผิวจุดที่มีหลุมสิวอยู่เพื่อให้ตัวเข็มเข้าไปตัดพังผืดที่ยืดผิวให้หลุดออกจากกัน ทำให้ใต้หลุมสิวเกิดช่องว่างขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทนช่องว่างดังกล่าว หลุมสิวจึงเรียบเนียนขึ้นนั่นเอง
ราคาค่าใช้จ่าย : 500.2,500 บาทต่อจุด
วิธีป้องกันหลุมสิว ไม่ให้เกิดขึ้นใหม่
เชื่อว่าใครหลายๆ คนก็คงจะทราบกันดีแล้วว่า ในการดูแลรักษาหลุมสิวที่ดีที่สุดก็คือการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวและหลุมสิวตั้งแต่ ซึ่งมีวิธีการดังนี้
- หมั่นดูแลรักษาความสะอาดผิวรวมไปถึงปลอกหมอน ที่นอน หมอนข้างเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค แบคทีเรียสาเหตุของสิว
- งดทานของทอดของมัน ของหวานเพราะอาหารเหล่าถือเป็นตัวกระตุ้นในการเกิดสิวที่ดีมากๆ
- พักผ่อนให้เพียงพอ เลี่ยงอารมณ์และความรู้สึกเครียด เพราะเมื่อเรามีความรู้สึกที่เครียดร่างกายจะทำการหลั่งฮอร์โมนบางตัวที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดสิว
- สครับผิวอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นผลัดเซลล์ผิวและขจัดสิ่งสกปรกที่บนผิวชั้นนอก เพื่อป้องกันการสะสมและหมักหมมจนเกิดเป็นสิวขึ้นมา
- และเมื่อมีเม็ดสิวเกิดขึ้น ไม่ควรทำการบีบ แกะ เกาเม็ดสิวอย่างเด็ดขาดควรรักษาด้วยการทายาแต้มสิวหรือพบแพทย์หาเม็ดสิวมีอาการอักเสบแบบรุนแรง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหลุมสิว
1. หลุมสิวใช้เวลารักษานานไหม
คำตอบคือใช้ระยะเวลาในการรักษาที่นานพอสมควรขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกใช้เพราะบางวิธีอาจใช้เวลาแค่ 1 เดือนแต่บางวิธีอาจจะต้องเวลานาน 6-12 เดือน เพราะแน่นอนว่าปัญหาหลุมสิวถือเป็นปัญหาของเซลล์ผิวที่เกิดการยุบตัวดังนั้นการจะทำให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาเพื่อทดแทนใหม่ได้นั้นจะต้องใช้เวลา และการดูแลตัวเองเป็นพิเศษ
2. หลุมสิวสามารถรักษาให้หายขาดได้ไหม
หลุมสิวสามารถรักษาให้หายขาดได้ยกเว้นการใช้วิธีการฉีดฟิลเลอร์เติมหลุมสิว แต่ก็แน่นอนว่าเมื่อรักษาหลุมสิวให้หายไปเองก็อาจมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาหลุมสิวอาจเกิดขึ้นใหม่ได้อีกในอนาคต หากคนไข้ดูแลตัวเองระหว่างเป็นสิวได้ไม่ดีมากนัก
3. สามารถรักษาหลุมสิวด้วยวิตามิน C ได้หรือไม่
ในตัววิตามินซีเองก็ถือว่ามีจุดเด่นในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว และสามารถช่วยด้านการผลัดเซลล์ผิว จึงทำให้สามารถช่วยรักษาปัญหาหลุมสิวได้ แต่จะต้องใช้ระยะเวลาที่นานมากๆ ดังนั้นหมอหลายคนจึงแนะนำให้ใช้ร่วมกับการรักษาด้วยหัตถการอื่นๆ เพื่อให้เห็นผลไวยิ่งขึ้น
4. หลุมสิวประเภทไหนที่ต้องรักษาโดยแพทย์เท่านั้น
จริงๆ แล้วหลุมสิวทุกประเภทนั้นควรทำการรักษาภายใต้การดูแลของหมอทั้งสิ้น เนื่องจากปัญหาหลุมสิวถือเป็นรอยแผลเป็นของสิวที่มีระดับการรักษาที่ยากที่สุด เพราะในบางรายอาจจะใช้แค่การทายาไม่เพียงพอต้องใช้หัตถการด้านอื่นๆ เข้าช่วย
5. หลุมสิวสามารถหายเองได้ไหม
หลุมสิวเป็นรอยแผลเป็นที่ไม่สามารถหายไปเองได้ เนื่องจากว่าหลุมสิวเกิดจากกระบวนการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์ทำให้ผิวยุบตัวและเกิดเป็นพังผืดรัดแน่นใต้ชั้นผิว ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างผิวที่มาก ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่เองได้โดยไม่ผ่านการกระบวนรักษาหลุมสิวนั่นเอง
ข้อควรระวังในการรักษาหลุมสิว
เรามาดูกันบ้างเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง งดหรือห้ามทำกิจกรรมอะไรบ้างในระหว่างที่เรากำลังอยู่ในช่วงรักษาหลุมสิว
- เลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่นละออง ควันรถ PM2.5 หรือมลพิษต่างๆ เพราะในฝุ่นจะมีแบคทีเรียและสิ่งสกปรกที่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนจนทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นอีก
- ในช่วงที่กำลังรักษาหลุมสิวไม่ควรสัมผัสหน้าบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเกา การแคะ การแกะ การลูบหน้าหรือเช็ดหน้าแรงๆ เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกในมือของเรามาถูกที่ใบหน้า
- รักษาความสะอาดให้ดีไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้า การซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนต่างๆ รวมไปถึงความสะอาดของบ้านเพื่อป้องกันฝุ่นที่จะมารบกวนผิว
- งดใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันและแอลกอฮอล์ แต่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนหรือเหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน
- เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ Whithening เพราะในช่วงรักษาหลุมสิวจะเป็นช่วยที่ผิวมีความบอบบางง่ายต่อการระคายเคืองและง่ายต่อการเกิดปัญหาฝ้ากระ
สรุป
ปัญหาหลุมสิวถือเป็นรอยแผลที่เกิดขึ้นหลังจากการรักษาสิวที่ไม่ดี ซึ่งมักเกิดขึ้นได้จากสิวหัวช้างและสิวอักเสบ โดยวิธีรักษาหลุมสิวนั้นมีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธีขึ้นอยู่ประเภทของหลุมสิวที่เป็น ดังนั้นก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการควรทำการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญรวมไปศึกษาข้อดี ข้อเสียและข้อมูลรายละเอียดของแต่ละวิธีให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำ
ที่มาข้อมูล : VargasFaceAndSkin, WeTreatKeloids