ทำความรู้จักกับสาเหตุของ สิวอุดตัน เกิดจากอะไร? มีวิธีรักษาและป้องกันได้หรือไม่
หลายคนคงจะเคยรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจกับปัญหาผิวหน้าไม่เรียบเนียนจากสิวอุดตัน ที่เป็นเม็ดเล็กๆขึ้นอยู่บริเวณใบหน้า และมักพบบริเวณหน้าผากและคาง ซึ่งหากไม่รีบทำการรักษาก็อาจจะทำให้พัฒนากลายเป็นสิวอักเสบได้ ในบทความนี้จึงพามารู้จักกับสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน และวิธีรักษาสิวอุดตันอย่างถูกต้องมาแนะนำ ซึ่งจะมีวิธีอะไรบ้างมาอ่านกันเลย
สิวอุดตัน คืออะไร?
สิวอุดตัน (Comedones) เป็นลักษณะของเม็ดสิวชนิดไม่อักเสบประเภทหนึ่ง ที่จะมีตุ่มสิวอยู่ใต้ชั้นผิวแต่จะมีหัวสิวโผล่ขึ้นมาบนผิวชั้นนอกเล็กน้อยทำให้เวลาสัมผัสจะรู้สึกได้ถึงความไม่เรียบเนียนของผิว สิวประเภทนี้หากปล่อยไว้ไม่กดออกมักจะก่อให้เกิดสิวอักเสบขึ้นได้ในอนาคต
สิวอุดตันเกิดขึ้นจากอะไร
สิวอุดตันเกิดจากต่อมไขมันที่เชื่อมติดกับรูขุมขนมีการผลิตน้ำมันมากผิดปกติ ทำให้มีไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวรวมตัวกับเซลล์ผิวและสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนจนเกิดการอุดตันเป็นเม็ดสิวขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลทำให้รูขุมขนอุดตันนั้นมีดังนี้
- ฝุ่นควัน ฝุ่นละออง : พวกฝุ่นต่างๆ นั้นมักจะลอยอยู่ในอากาศเป็นจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสสูงที่ฝุ่นเหล่านั้นมาเกาะที่ผิวของเราจนทำให้เกิดการอุดตันเกิดขึ้น
- เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว : ร่างกายของเราจะมีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวอยู่ ซึ่งในบางครั้งการผลัดเซลล์ผิวที่เก่าแล้วให้หลุดออกไปมีความบกพร่องทำให้ยังมีเซลล์ผิวที่ตายแล้วบางส่วนติดอยู่ซึ่งเมื่อไปเจอกับแบคทีเรีย ฝุ่น ต่างๆ ก็จะนำไปสู่การอุดตันจนกลายเป็นสิวในที่สุด
- การล้างเครื่องสำอางไม่หมดจนเกิดการอุดตันขึ้น : พวกเครื่องสำอาง ครีมหรือเซรั่มบำรุงผิวต่างๆ เมื่อเราทาแล้วแต่เราทำความสะอาดไม่หมดก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นทำให้เกิดสิวอุดตันได้ง่ายมากๆ
- การทานของทอดของมัน แป้ง และน้ำตาลเป็นประจำ : อาหารจำพวกนี้จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ปริมาณน้ำตาลในร่างกายของเราสูงขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : อย่างเช่น ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ที่จะไปกระตุ้นทำให้ร่างกายผลิตซีบัมในผิวจนทำให้เกิดการอุดตัน
ลักษณะของสิวอุดตัน
สิวอุดตันเป็นสิวที่มีลักษณะเป็นหัวสิวนูนออกมาจากผิวหนัง แข็งเป็นไต หรืออาจมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ เมื่อจับไปจะรู้สึกว่าผิวไม่เรียบ และทำให้ผิวมีอาการระคายเคืองหรือบวมแดงได้ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษา อาจพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบได้
ประเภทของสิวอุดตันมี 2 ประเภท
สิวอุดตันหัวปิด(Closed Comedone)
เป็นสิวอุดตันที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ มองเห็นเป็นจุดสีขาวและไม่มีรูเปิด เนื่องจากรากสิวประเภทนี้จะอยู่ลึกกว่าสิวหัวดำหรือสิวอุดตันหัวเปิด ทำให้สามารถรักษาได้ยากกว่า หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานโดยไม่รีบรักษาสิวอุดตันนี้ก็จะมีการพัฒนาเป็นสิวอุดตันที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีโอกาสเกิดการติดเชื้อกลายเป็นสิวอักเสบได้
สิวอุดตันหัวเปิด (Open Comedone)
เป็นสิวอุดตันที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูน และมีหัวสีดำอยู่ตรงกลาง ที่สามารถบีบหรือกดออกจากใต้ผิวหนังได้ง่ายกว่าสิวอุดตันหัวปิด แต่อาจทำให้เกิดการอักเสบและเป็นรอยสิวได้
สาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน
สิวอุดตันเกิดจากไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวและสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขน รวมถึงเซลล์เยื่อบุผิวหนังที่ตายแล้วจับรวมตัวจนเกิดการอุดตัน ซึ่งจะเกิดภายในรูขุมขนใต้ผิวหนัง และเป็นตุ่มนูนบนผิวหนัง โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน ได้แก่
- เกิดจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป (Sebum production) ทำให้การผลัดเซลล์ผิวทำงานผิดปกติ จนเกิดการอักเสบ
- เกิดจากการอักเสบและการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (Inflammation and Immune response) ทำให้มีจำนวนเซลล์ผิวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติ จนเกิดเป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบได้
- เกิดจากเซลล์ผิวหนัง (Keratinocytes) มีการเพิ่มจำนวนมากเกินไป และผลัดเซลล์ผิวเก่าได้ช้าผิดปกติ จนทำให้เกิดการอุดตันที่รูขุมขนได้ง่าย (Follicular epidermal hyperproliferation)
- เกิดจากการทำงานของแบคทีเรียที่มีชื่อว่า C.acnes เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ ทำให้จุลินทรีย์ที่อยู่บนผิวหนังเสียความสมดุล (Microbial dysbiosis) จนเซลล์ผิวหนังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น
สิวอุดตัน มักเกิดบริเวณไหนบ้าง?
- สิวอุดตันที่แก้ม
- สิวอุดตันที่หน้าผาก
- สิวอุดตันที่คาง
- สิวอุดตันที่จมูก
- สิวอุดตันที่หลัง
- สิวอุดตันใต้ผิวหนัง
สิวอุดตันสามารถป้องกันได้หรือไม่?
วิธีลดสิวอุดตันด้วยการป้องกันถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ถึงแม้ว่าจะมีบางปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น อย่างฮอร์โมน และพันธุกรรม แต่เราก็สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดสิวอุดตันได้ดังนี้
วิธีกำจัดสิวอุดตัน ด้วยวิธีธรรมชาติ
การป้องกันสิวอุดตันถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ถึงแม้ว่าจะมีบางปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น อย่างฮอร์โมน และพันธุกรรม แต่เราก็สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดสิวอุดตันได้ดังนี้
1. ล้างหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ
การล้างหน้าให้สะอาดอยู่เสมอโดยเวลาหลังการแต่งหน้า แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ Makeup Remover เพื่อช่วยล้างคราบสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวได้หมดจดมากขึ้น (ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวอุดตัน) นอกจากนี้ควรเลือกเครื่องสำอางประเภท (non-comedogenic) ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
2. พักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง โดยเฉพาะการนอนในเวลา 4 ทุ่ม จะช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นผลดีที่จะช่วยทำให้ผิวแข็งแรง และเป็นส่วนช่วยลดการเกิดสิวได้อีกหนึ่งวิธี
3. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน
การดื่มน้ำมากๆจะช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียได้มากขึ้น ช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น และกระตุ้นการทำงานของผิวให้ดีขึ้น จึงทำให้ผิวแข็งแรงและช่วยลดปัจจัยของการเกิดสิวอุดตันที่กวนใจ
4. ใช้โทนเนอร์สูตรรักษาสิวอุดตัน
ผลิตภัณฑ์โทนเนอร์นั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีในการช่วยทำความสะอาดผิวหน้า เช็ดเอาสิ่งสกปรกที่เราทำความสะอาดไม่หมดจากขั้นตอนการล้างหน้าออกไปจากผิวได้ดี นอกจากนั้นสารบำรุงในโทนเนอร์ยังมีส่วนช่วยในการช่วยลดความมัน และช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ดี
การรักษาสิวอุดตัน แบบเร่งด่วน ด้วยวิธีทางการแพทย์
1. Pora cooling
ผลักวิตามินเข้าสู่ผิวอย่างล้ำลึกเพื่อให้ได้ผิวที่สม่ำเสมอ พร้อมฆ่าเชื้อสิวด้วย Pora cooling เป็นวิธีที่จะช่วยกำจัดสิ่งสกปรก ลดความมัน ควบคุมจำนวนแบคทีเรีย และผลัดเซลล์ผิวที่ตายออกไปเพื่อป้องกันการอุดตัวบนผิว และผลักวิตามินให้ซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ดีกว่าการทาครีมบำรุง
2. Made Collagen
เป็นสารวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นไปบนผิวหน้า 16 จุด ตามการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง เพื่อให้เกิดการบำบัดและฟื้นฟูสภาพผิวได้ลึกถึงระดับเซลล์ ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรง และทนต่อมลภาวะต่างๆโดยไม่ถูกทำร้ายได้ง่ายๆ
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : ข้อควรรู้ก่อนฉีดมาเด้คอลลาเจน made 16 จุด คืออะไร มีความเสี่ยงอะไรบ้าง
3. ฉีดผิววิตามิน
ฉีดวิตามินผิวเป็นการบำรุงผิวโดยรวม ด้วยการเติมสารอาหารที่จำเป็นผ่านทางเส้นเลือด ซึ่งสามารถช่วยในการกระตุ้นการทำงานของผิวให้กลับมาแข็งแรง สดชื่น กระจ่างใส ควบคุมความมัน และลดช่วยลดโอกาสของการเกิดสิวอุดตันได้อีกด้วย
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : ฉีดวิตามินผิว ดีไหม ก่อนฉีดผิวขาวครั้งแรก ควรรู้อะไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายหลังฉีด
4.รักษาสิวอุดตันด้วยเลเซอร์ Dual Yellow
เป็นเลเซอร์บำรุงผิวหน้าที่มีการผสมผสานระหว่างความยาวคลื่น 2 ประเภท คือแสงสีเขียวและแสงสีเหลือง ซึ่งประสิทธิภาพในการบำรุงผิวด้วย Dual yellow 1 ครั้ง เทียบเท่าการทำเลเซอร์ทั่วไปถึง 4 ครั้ง ซึ่งจะช่วยในการขับสิ่งสกปรกที่อยู่บนผิว และกระตุ้นให้ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบในอนาคตได้อีกด้วย
5. ทายาและรักษาสิวโดยแพทย์ผิวหนัง
การรักษาสิวอุดตันด้วยการทายาที่มีการออกฤทธิ์ลดการอุดตัน ลดการอักเสบ และฆ่าเชื้อสิว เช่นคลินดามัยซิน หรือฮีรีโทรมัยซิน จะทำให้สิวอุดตันลดลงได้ แต่หากใช้ยาแล้วไม่เกิดผลแนะนำให้พบแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัย และได้รับยารักษาที่ถูกต้อง
6. กดสิวอุดตัน
การกดสิวถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลายๆ คนเลือกใช้ในการรักษาสิวอุดตันซึ่งวิธีนี้จะต้องทำกับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเพราะหากทำเองจะทำให้เกิดการอักเสบจนนำไปสู่สิวอักเสบหรือรอยสิว หลุมสิวขึ้นได้ ซึ่งหากทำการกดกับผู้เชี่ยวชาญนั้นจะมีการใช้อุปกรณ์ในการเปิดหัวสิวอย่างเข็มเล่มเล็กๆ หรือการยิงเลเซอร์เปิดหัวสิวก่อนแล้วค่อยทำการกดเอาหัวสิวออก
7. ทานยารักษาสิว
การทานยาปฏิชีวินะหรือยาเพื่อปรับฮอร์โมนถือเป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอุดตันจากการเปลี่ยนแปลงของฮฮร์โมนในร่างกายได้ ซึ่งวิธีนี้จะต้องพบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนและไม่ควรหาซื้อยามาทานเองเด็ดขาดเพราะยาบางตัวอาจเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายขึ้นได้
8. ฉีดยารักษาสิว
วิธีการฉีดสิวนั้นคือการใช้ตัวยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) ฉีดเข้าไปในเม็ดสิวเพื่อให้ตัวยาเข้าไปทำลายแบคทีเรียในสิว ทำให้สิวยุบตัวไวขึ้น แต่วิธีนี้จส่วนใหญ่จะมักใช้กับกลุ่มคนที่มีปัญหาสิวอักเสบและไม่เหมาะกับคนที่มีสิวอุดตันเยอะๆ นอกจากนั้นยังไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติแพ้ยายาไตรแอมซิโนโลนอีกด้วย
9. การกรอผิว
การกรอผิว (Microdermabrasion) เป็นวิธีการใช้ผลึกแร่หรือผลึกคริสตัลชนิดพิเศษในการกรอผิวเพื่อทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกหลุดออกไปทำให้หัวสิวหลุดตันหลุดออกมาด้วย ซึ่งวิธีนี้จะต้องใช้เทคนิคพิเศษของแพทย์เพราะหากไม่มีความเชี่ยวชาญมากพออาจทำให้เกิดบาดแผลขึ้นได้ นอกจากนั้นยังช่วยแก้ปัญหาผิวไม่เรียบเนียนให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
10. การจี้ด้วยไฟฟ้า
การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery) คือใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าในการเข้าจี้หัวสิวที่ปิดอยู่ให้เปิดขึ้น ทำให้สามารถกดเอาหัวสิวออกมาได้ง่ายมากขึ้น จึงเหมาะมากกับคนที่มีปัญหาสิวอุดตันเยอะ และช่วยลดโอกาสการเกิดรอยช้ำรอยสิวจากการกดสิวได้
11. การฉีด Exosome
เป็นวิธีการช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวด้วยสารชีวโมเลกุลที่มีมาถึง 1,000 ชนิด จึงสามารถช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวให้เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ผิวมีความแน่นกระชับ และมีโครงสร้างผิวที่แข็งแรงขึ้นจึงช่วยลดโอกาสเกิดสิวได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังช่วยเสริมความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิวได้
12. การฉีด REJURAN
ตัวนี้จะเป็นตัวสารที่เป็นสารโพลี่นิวคลีโอไทด์ ที่สกัดมาจากปลาแซลม่อนถึงมีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ทำให้หลังฉีดไปแล้วตัวยาไปกระตุ้นการฟื้นฟูเซลล์ผิว กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและช่วยปรับโครงสร้างผิวให้มีความแน่นแข็งแรงมากยิ่งขึ้นได้ ที่สำคัญช่วยลดการเกิดสิว รักษารอยแผลเป็นจากสิวและยังช่วยปรับผิวให้มีความกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นสิวอุดตัน
เมื่อพบว่าเป็นสิวอุดตันควรมีการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบหรือทิ้งรอยสิวหลังการรักษา ดังนี้
- ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนสำหรับการรักษาสิวโดยเฉพาะ และไม่ควรล้างหรือถูหน้าแรง ๆ
- ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และหลีกเลี่ยง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
- พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึก ลดความเครียดและดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ ให้เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวันเพื่อให้เซลล์ผิวได้ฟื้นฟู
- ลดการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล แป้ง และไขมัน เพื่อลดการความมันและลดโอกาสการเกิดสิวอุดตัน
- ไม่แกะ ไม่บีบสิว หรือไม่สัมผัสบริเวณใบหน้าบ่อย ๆ เพราะผิวอาจเกิดการติดเชื้อจากสิ่งสกปรกที่มือได้
- เช็ดเครื่องสำอางให้หมดจดทุกครั้งและล้างหน้าให้สะอาด
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์กับผิว เช่นผัก ผลไม้ วิตามิน อาหารเสริมต่างๆ
- ทำทรีตเม้นท์บำรุงผิวหน้า หรือทำเลเซอร์หน้าใสเป็นประจำ เพื่อให้ผิวมีการฟื้นฟูได้ไวขึ้น (อ่านเพิ่มเติม : เลเซอร์หน้าใส ช่วยอะไร? เหมาะกับใคร ราคาเท่าไหร่ ทำที่ไหนดี 2023 )
สิวอุดตันทำให้เกิดสิวอักเสบได้หรือไม่?
สิวอุดตันอาจจะไม่ได้ส่งผลทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบทันที แต่หากปล่อยไว้นานๆโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี เมื่อมีการติดเชื้อหรือมีการกระตุ้นก็สามารถพัฒนาความรุนแรงไปเป็นสิวอักเสบได้เช่นกัน
บทความแนะนำ : สิวอักเสบ คืออะไร ? พร้อมแนะนำวิธีดูแล และรักษาให้ได้ผลแบบธรรมชาติ
ข้อควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิวอุดตัน
1. สิวอุดตันหายเองได้หรือไม่?
สิวอุดตันบางส่วนสามารถหายได้เอง โดยการใช้ยาละลายหัวสิวแต้ม แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลา1-2 สัปดาห์ แต่สิวอุดตันบางประเภทก็จำเป็นต้องกดหรือบีบออก แต่ถ้าเป็นสิวอุดตันจำนวนมากแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางการรักษาแบบเร่งด่วน
2. การรักษาสิวอุดตันต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหน
ระยะเวลาในการรักษาสิวอุดตันแต่ละครั้งนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับระดับความหนักเบาของคนไข้ ดังนั้นจึงควรเข้าปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาให้ตรงจุดจะได้เห็นผลที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
3. หากรู้สึกมีสิวอุดตัน สามารถบีบหรือแกะได้หรือไม่?
สิวอุดตันสามารถกดหรือบีบได้ หากรู้วิธีที่ถูกต้องและใช้เครื่องมือที่สะอาด แต่สำหรับคนที่กดหรือบีบสิวไม่เป็นก็จะทำให้ดันหัวสิวลึกลงไปกว่าเดิม หรือทำให้เกิดการอักเสบ จนเกิดเป็นรอยสิวตามมา ดังนั้นจึงขอแนะนำให้กดสิวอย่างถูกวิธีกับผู้เชี่ยวชาญ โดยเครื่องมือเฉพาะ มีความสะอาด เพื่อไม่ทำให้เนื้อเยื่อช้ำ ไม่เกิดรอยดำ รอยแดงจากสิวตามมา
4. สิวอุดตันสีดำคืออะไร?
สิวอุดตันสีดำนั้นก็ถือเป็นสิวอุดตันประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการสะสมของไขมัน แบคทีเรีย สิ่งสกปรกต่างๆ ในชั้นผิวเกิดเป็นสิวอุดตัน และเกิดการออกซิไดซ์ขึ้นจากการสัมผัสกับอากาศภายนอกจนทำให้หัวสิวเปลี่ยนเป็นสีดำนั่นเอง
5. สิวอุดตันเป็นอันตรายต่อผิวหรือไม่
การเป็นสิวอุดตันนั้นไม่ได้มีความอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะส่งผลต่อผิวเพราะจะทำให้เกิดสภาพผิวที่ไม่เรียบเนียน และหากไม่ทำการกดเอาหัวสิวออก อาจจะทำให้เกิดการนำไปสู่ปัญหาสิวอักเสบหรือสิวหัวช้างขึ้นได้ ในอนาคต
6. ถ้าเป็นสิวอุดตันจำเป็นต้องหาหมอหรือไม่?
การเป็นสิวอุดตันหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ หรือหากได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้สิวอุดตัวนั้นมีการอักเสบหรือทิ้งรอยจากสิวได้ (ซึ่งรอยสิวจะทำการรักษาได้ยากและใช้เวลาค่อนข้างนานกว่า) ดังนั้นหากใครที่มีปัญหาสิวอุดตัน และต้องการได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีโดยไม่ทิ้งรอย การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
7. กินอะไรช่วยให้สิวอุดตันหาย
เรื่องอาหารที่ทานเข้าไปนั้นก็ถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดสิวอุดตันได้ ดังนั้นจึงควรเลี่ยงอาหารกลุ่มของหวาน ของมัน ของทอด และเลือกทานอาหารกลุ่ม ธัญพืชและถั่ว, ผักใบเขียว, ผลไม้น้ำตาลต่ำ, เนื้อสัตว์, ข้าวไรซ์เบอรี่ เป็นต้น
สรุป
การรักษาสิวอุดตันสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนาน และเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นได้ ดังนั้นหากใคร ที่ต้องการรักษาสิวอุดตันอย่างเร่งด่วนโดยไม่ทิ้งรอยแผลใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี