ฉีดไขมัน ดีกว่าฉีดฟิลเลอร์ จริงหรือไม่? เลือกฉีดอะไรดีกว่ากัน?
ทั้งการฉีดไขมันและฟิลเลอร์เป็นการเติมเต็มใบหน้าเหมือนกัน แต่มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน บางคนอาจเคยเข้าใจว่า ฉีดไขมันดีกว่าฉีดฟิลเลอร์เพราะเป็นการใช้เซลล์ของร่างกายไม่มีอันตรายเหมือนฟิลเลอร์ที่เป็นสารแปลกปลอม ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยค่ะ ทั้งฟิลเลอร์และไขมันมีความปลอดภัยทั้งคู่ แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของความคงอยู่ การพักฟื้น รวมถึงความเหมาะสมของบริเวณที่จะฉีด เรามาดูข้อแตกต่างระหว่างฉีดฟิลเลอร์และฉีดไขมันกันค่ะ
ความแตกต่างระหว่าง การฉีดฟิลเลอร์ และ ฉีดไขมันตัวเอง
การฉีดไขมันตัวเอง คือ การปลูกถ่ายเซลล์ไขมันจากบริเวณหนึ่งไปยังบริเวณหนึ่ง จะไม่ใช่แค่การฉีดแล้วจบไปแต่เป็นการรอให้การปลูกถ่ายเซลล์สมบูรณ์จึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน การปลูกถ่ายเซลล์จะสมบูรณ์ ปัญหาที่พบส่วนมากจากคนไข้ที่ฉีดไขมัน คือ มีปัญหาผิวไม่เรียบหลังการฉีด ซึ่งเกิดจากการยุบตัวไม่เท่ากันของเซลล์ไขมันนั่นเอง
การฉีดฟิลเลอร์ คือ การใช้การเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิค เอซิด (Hyaluronic Acid, HA) ที่ผลิตขึ้นมาเลียนแบบให้มีความใกล้เคียงกับไฮยาลูโรนิคเอซิดที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เองและสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่ชอบ สามารถฉีดสลายได้เช่นกัน หลังการฉีดฟิลเลอร์แล้วจะเห็นผลลัพธ์ได้ทันที
ฉีดไขมันได้ผลลัพธ์ถาวรกว่า จริงหรือไม่?
การฉีดไขมันคือการปลูกถ่ายเซลล์ไขมัน จำเป็นต้องมีเลือดไปหล่อเลี้ยงเพื่อให้เซลล์อยู่ตัว ซึ่งหลังการฉีดไปไปแล้ว เซลล์ไขมันที่ติดจริงๆจะมีแค่ 40-50% เท่านั้น โดยระยะเวลาคงอยู่จะลดลงไปตามอายุ แปรผันตามน้ำหนักตัว การฉีดไขมันไม่สามารถการันตีระยะเวลาที่คงอยู่และไม่สามารถการันตีผลลัพธ์ได้ ในขณะที่การฟิลเลอร์สามารถการันตีผลลัพธ์ได้
ฉีดฟิลเลอร์ หรือ ไขมัน อันไหนเหมาะกับฉีดจุดไหนบ้าง ?
ฟิลเลอร์จะเหมาะกับการฉีดเฉพาะจุดได้ดีกว่า ฟิลเลอร์มีหลายรุ่นและขนาดโมเลกุลให้เลือกหลากหลาย แพทย์สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวบริเวณนั้นๆได้เลย เช่น ใต้ตา ขมัน ร่องแก้ม คาง ริมฝีปาก และแก้มลูกส้ม ฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลได้ดีในทันทีเพราะมีความคงอยู่ตัวมากกว่าไขมัน บริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณเล็กต้องใช้ฟิลเลอร์โมเลกุลเล็กและกระจายตัวได้ดีในการฉีด และอยู่ได้ทนมากกว่าไขมันด้วย
ไขมันจะเหมาะกับการฉีดเพื่อเติมเต็มวอลลุ่มในบริเวณที่กว้าง เช่น หน้าผาก แนะนำฉีดไขมันตัวเองจะดีที่สุด เพราะไขมันจะติดได้ดีในบริเวณที่กว้างและมีกล้ามเนื้อที่เคลื่อนไหวน้อย ซึ่งการฉีดไขมันจะไม่เหมาะที่จะฉีดในกลุ่มคนที่ผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย เพราะจะทำให้ใบหน้าโดยรวมดูคล้อยมากกว่าเดิม ในขณะที่ฟิลเลอร์จะช่วยเรื่องยกกระชับผิวและบำรุงผิวได้ด้วย
ฉีดฟิลเลอร์จะช่วยกระชับผิว บำรุงผิวพรรณและคงรูปใบหน้า คุณสมบัติพิเศษที่ไขมันให้ไม่ได้
เซลล์ไขมันมีคุณสมบัติเพื่อเติมเต็มอย่างเดียวเพราะมีโมเลกุลขนาดเดียว มีข้อจำกัดในการฉีดบริเวณพื้นที่เล็ก ในขณะที่สารไฮยาลูโรนิค เอซิด (Hyaluronic Acid, HA)หรือฟิลเลอร์นั้นถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลาย มีหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ทั้งความยืดหยุ่น ความคงตัว การขึ้นรูป รวมถึงมีขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกันด้วย
ทำให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาใบหน้าได้หลากหลายกว่า เช่น ฟิลเลอร์บางรุ่นจะเหมาะกับการแก้ไขปัญหาผิวพรรณ ริ้วรอย ร่องลึก ในขณะที่บางตัวเหมาะกับการแก้ไขปัญหารูปหน้า ปั้นทรงคาง ปั้นทรงริมฝีปาก เติมเต็มขมับหรือแม้แต่เติมเต็มหน้าผากก็สามารถทำได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี สามารถฉีดเพื่อกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น ชะลอการเกิดริ้วรอย ร่องลึกใหม่ในอนาคตอีกด้วย
ฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดไขมัน แบบไหนปลอดภัยกว่ากัน?
ยังมีความเข้าใจผิดว่า ฉีดไขมันปลอดภัยกว่าฟิลเลอร์ เพราะไขมันเป็นเซลล์จากร่างกายปลูกถ่ายในร่างกายตัวเอง ไม่มิสิ่งแปลกปลอม น่าจะปลอดภัยกว่าฟิลเลอร์ซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอม จริงๆแล้วจากงานวิจัยและเก็บเคสคนไข้จากทั่วโลก
การฉีดไขมันมีภาวะแทรกซ้อนและอาการไม่ถึงประสงค์เกิดขึ้นมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ เช่น การอุดตันในเส้นเลือดเลือด เพราะการฉีดไขมันจะต้องฉีดเข้าไปในปริมาณที่มากและใช้โมเลกุลที่ใหญ่ ทำให้เสี่ยงต่อการอุดตันเส้นเลือดนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่มีการฉีดสลายไขมันได้ในทันที การฉีดไขมันจึงจำเป็นต้องฉีดโดยศัลยแพทย์ชำนาญ เพื่อลดอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดนั่นเอง ถือเป็นผ่าตัดไม่ใช่หัตถการเหมือนฟิลเลอร์
แต่ถ้าคนไข้ฉีดฟิลเลอร์ปลอมหรือฉีดฟิลเลอร์กับหมอกระเป๋า ก็อันตรายมากๆ เพราะ หากเป็นฟิลเลอร์ปลอม จะอุดตันในเส้นเส้นเลือด ไม่สามารถฉีดสลายได้ ฟิลเลอร์ปลอมนั้นจะอุดตันตลอดไปไม่สามารถผ่าตัดหรือฉีดสลายได้
ฉีดฟิลเลอร์ หรือ ฉีดไขมัน แบบไหนเจ็บกว่ากัน?
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา เพราะในฟิลเลอร์มาสารละลายยาชาผสมอยู่แล้วเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด แต่กรณีต้องการฉีดในบริเวณที่มีเส้นประสาทเยอะ เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก จะแปะยาชาเป็นเวลา 40 นาทีก่อนการฉีดฟิลเลอร์เพื่อลดการเจ็บระหว่างการจิ้มเข็ม หลังการฉีดฟิลเลอร์อาจมีอาการบวมแดง 2-3 วันเท่านั้น
ฟิลเลอร์เป็นสารที่มีความคงตัวสูง สามารถประเมินปริมาณที่ต้องฉีดได้เลย หลังการฉีดจะเห็นผลลัพธ์และเห็น
วอลลุ่มหลังการฉีดได้ทันที กรณีไม่ชอบสามารถฉีดสลายได้ และสามารถฉีดเติมได้เรื่อยๆ โดยไม่มีอันตราย
ส่วนการฉีดไขมัน ถือเป็นการผ่าตัดภายใต้ยานอนหลับ โดยจะดูดไขมันบริเวณขา หน้าท้อง หรือก้น ออกมาเพื่อปลูกถ่ายกลับเข้าไปที่ใบหน้าตามจุดที่ต้องการ การปลูกถ่ายเซลล์ไขมันมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและต้องใช้ทักษะมากกว่า รวมถึงการฉีดไขมันต้องรอเวลาให้เซลล์ได้รับการปลูกถ่ายอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ในการฉีดไขมันจะต้องฉีดไขมันเป็นจำนวนที่มาก เพราะจะมีไขมัน 40-50% เลยทีเดียวที่สลายหายไป เนื่องจากปลูกถ่ายเซลล์ไม่สำเร็จนั่นเอง ในตอนแรกหลังฉีดใบหน้าจะบวมและมีรอยช้ำเหลือง กว่าจะเข้าที่สมบูรณ์ใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนเลยทีเดียว
สรุปฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดไขมันแบบไหนดีกว่ากัน?
ฟิลเลอร์มีค่าคงตัว คุณสมบัติอุ้มน้ำและกระชับผิวได้ดี ในขณะที่ไขมันไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ รวมถึงการฉีดไขมันจะต้องมีเวลาพักฟื้นและเลือกศัลยแพทย์ที่ชำนาญในการฉีดเท่านั้น ในบางรายหากฉีดกับศัลยแพทย์ที่ไม่ชำนาญ การยุบตัวของไขมันบนใบหน้าแต่ละส่วนจะไม่เท่ากันทำให้ผิวหลังฉีดไม่เรียบหรือเป็นก้อน
ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยมากและยังไม่มียาฉีดสลายจะต้องรอให้ยุบหายไปเอง ซึ่งบางรายกินเวลาเป็นปีเลยทีเดียว โดยส่วนมากรีวิวในคลินิกต่างๆจะโชว์รูปหลังฉีดทันทีหรือฉีดไปแล้วเพียง 7วันเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ผลลัพธ์ที่แท้จริง หากจะดูรีวิวให้ดูรีวิวคนไข้ที่ฉีดไปแล้วอย่างน้อย 3 เดือน คนไข้ฉีดไขมันส่วนใหญ่มักผิดหวังกับผลลัพธ์เพราะเซลล์ไขมันไม่ติดอย่างที่หวัง
สุดท้ายต้องกลับมาพึ่งฟิลเลอร์อยู่ดี ข้อสำคัญที่สุดคือฟิลเลอร์สามารถการันตีผลลัพธ์และระยะเวลาคงอยู่ได้ หากไม่แน่ใจว่าควรฉีดแบบไหนดี? ฉีดตรงไหนบ้าง? สามารถทำนัดเข้าปรึกษากังนัมคลินิกได้ทุกสาขาค่ะ