ฉีดฟิลเลอร์ แต่ละจุดช่วยเรื่องอะไร ครบทุกเรื่อง ที่ควรรู้ก่อนฉีดครั้งแรก 2024
ก่อนการตัดสินใจ ฉีดฟิลเลอร์ ( Filler ) หรือสารเติมเต็มบนใบหน้า เราควรศึกษาข้อมูลของสิ่งๆ นั้นให้ดีก่อนว่าคืออะไร ฉีดเพื่ออะไร? และเมื่อฉีดแล้วจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้เราได้จริงหรือไม่? ในบทความนี้ได้รวบรวมข้อควรรู้ในการฉีดฟิลเลอร์ไว้ให้หมดแล้ว พร้อมคำแนะนำในการฉีดฟิลเลอร์ว่าควรฉีดแบบไหนดี ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคน ต้องฉีดยี่ห้ออะไร และฉีดที่ไหน เช็คฟิลเลอร์แท้ปลอมยังไงดี? เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด
หัวข้อเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ ที่ควรรู้และทำความเข้าใจก่อน สามารถเลือกอ่านได้เลยค่ะ
ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เพื่อเติมเต็มส่วนต่างๆ ของใบหน้าแต่ละจุด โดยฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปจะมีหลายรุ่น หลายยี่ห้อ หลักการทำงานของเนื้อสารจะเข้าไปเติมเต็มในชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพและมีการยุบตัวลงของกระดูก เช่น บริเวณหน้าผาก ขมับ ร่องแก้ม นอกจากนี้สารไฮยาลูโรนิค เอซิด ยังมีคุณสมบัติอุ้มน้ำช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นทำให้ผิวเปล่งปลั่ง กระชับรูขุมขนและยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังมีค่าความคงตัวสูง สามารถใช้ฉีดเสริมคาง ส่วนฟิลเลอร์ที่มีค่าความคงตัวต่ำ มีการกระจายตัวได้ดีจะใช้ฉีดบริเวณใต้ตาหรือร่องแก้มได้ดี ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์จุดต่างๆ บนใบหน้าควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติและตอบโจทย์ความต้องการของคนไข้มากที่สุด
ฟิลเลอร์ เหมาะกับใครบ้าง?
- คนไข้ที่มีร่องลึก เช่น เบ้าตาล่าง ร่องแก้ม อันเกิดจากการยุบตัวของกระดูกและสลายของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
- คนไข้ที่มีหน้าผากแบน ขมับตอบลึก สามารถฉีดฟิลเลอร์สร้างวอลลุ่มหน้าผากได้
- คนไข้ที่ต้องการเสริมคาง ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
- เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องริมฝีปากให้เอิ่บอิ่ม
- คนไข้ที่ต้องการให้ใบหน้าอิ่มน้ำ ชะลอการเกิดริ้วรอยและเติมน้ำให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- คนที่ต้องการแก้ปัญหาหลุมสิวแบบเร่งด่วน
- คนที่ต้องการปรับรูปหน้าในบางจุดแบบไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม
ตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์ มีจุดไหนบ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง ขึ้นกับว่าปัญหาแต่ละจุดคืออะไร รวมถึงฟิลเลอร์จะมีรุ่นและขนาดโมเลกุลแตกต่างกัน เพื่อเหมาะสมกับพื้นที่ที่จะฉีด ดังนั้นแต่ละจุดจะใช้ฟิลเลอร์ที่โมเลกุลแตกต่างกันนั่นเอง โดยปกติแล้วฟิลเลอร์จะนิยมฉีดบนใบหน้า 7 จุดสำคัญ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุด
- ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เพื่อเพิ่มวอลลุ่มของหน้าผากให้โหนกนูนขึ้นสมส่วน
- ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ฉีดเติมเต็มขมับจึงทำให้ใบหน้าดูสดใส และมีมิติขึ้น
- ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ลดรอยคล้ำดำของผิวใต้ตา ร่องลึกกลับมามีวอลลุ่ม ถุงใต้ตาเต่งตึงขึ้น
- ฉีดฟิลเลอร์จมูก แพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีดบริเวณนี้ เพราะไม่สามารถปรับรูปทรงจมูกตามต้องการได้
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยทำให้ผิวที่คล้อยและเป็นร่องลึกกลับมาเต็มและเต่งตึงอีกครั้ง
- ฟิลเลอร์ปาก ทำให้ปากอวบอิ่ม ยกมุมปากให้เป็นรูปทรงที่สวยขึ้น
- ฟิลเลอร์คาง แก้ปัญหาคางตัด คางสั้น คางทู่ คางถอยหลัง ปรับรูปหน้าให้เรียวเป็นธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี แต่ละรุ่น อยู่ได้นานแค่ไหน?
ในปัจุบันฟิลเลอร์ที่นิยมใช้งานในคลินิกที่มี อย. แบบถูกต้องในไทย จะนำเข้ามาจาก 4 ประเทศด้วยกัน คือ สวีเดน, อเมริกา, สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีระยะเวลาการสลายตัวของฟิลเลอร์ดังนี้
1. Restylane (สวีเดน)
- Restylane Vital light อยู่ได้ 6-12 เดือน
- Restylane Perlane lyft อยู่ได้ 12 เดือน
- Restylane Volyme อยู่ได้ 18 เดือน
- Restylane Defyne อยู่ได้ 18 เดือน
- Restylane Refyne อยู่ได้ 12 เดือน
- Restylane Classic อยู่ได้ 12 เดือน
- Restylane kyss (สำหรับฉีดปาก) อยู่ได้ 12 เดือน
2. Juvederm (อเมริกา)
- Juvederm Ultra Plus อยู่ได้ 12 เดือน
- Juvederm Volift อยู่ได้ 12 เดือน
- Juvederm Volite อยู่ได้ 8-12 เดือน
- Juvederm Volbella อยู่ได้ 12 เดือน
- Juvederm Voluma อยู่ได้ 18 เดือน
3. Belotero (สวิตเซอร์แลนด์)
- Belotero Intense อยู่ได้ 18 เดือน
- Belotero Balance อยู่ได้ 12-18 เดือน
- Belotero Volume อยู่ได้ 18 เดือน
- Belotero Intense อยู่ได้ 18 เดือน
- Belotero revive (ฟิลเลอร์งานผิว) อยู่ได้ 6 เดือน
4. Perfectha (ฝรั่งเศส)
- Perfectha Subskin อยู่ได้ 12 เดือน
เนื่องจากฟิลเลอร์มีหลายยี่ห้อและหลายรุ่น ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีระยะเวลาคงสภาพแตกต่างกัน รวมถึงปริมาณที่ต้องฉีดแต่ละจุดไม่เท่ากัน ทำให้ราคาในการฉีดแต่ละจุดแตกต่างกันไป โดยการฉีดฟิลเลอร์ไม่จำเป็นต้องฉีดทีเดียวครั้งละมากๆ สามารถทยอยเติมได้จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่คนไข้พึงพอใจ ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและดีไซน์ใบหน้าให้คนไข้ก่อนฉีดทุกครั้ง หรือสามารถอ่านบทความเต็มๆเกี่ยวกับฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อเพิ่มเติม: แนะนำ 4 ตัวท็อป ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ปลอดภัยผ่าน อย. ไทย 2021
5. Neuramis
- Neuramis Deep อยู่ได้ 6-12 เดือน
- Neuramis Deep Lidocaine อยู่ได้ 6-12 เดือน
- Neuramis Volume Lidocaine อยู่ได้ 6-12 เดือน
วิธีดูฟิลเลอร์ของแท้และของปลอม
ฟิลเลอร์แท้สามารถสลายได้เองภายในระยะเวลา 1-2 ปี ขึ้นกับยี่ห้อที่เลือกฉีด โดยแต่ละยี่ห้อต้องได้รับมาตรฐานผ่านการรับรองจาก อย. เท่านั้น วิธีการสังเกต สามารถดูได้ดังนี้ (แหล่งข้อมูลอ้างอิงจาก https://oryor.com/ )
1. สังเกตที่กล่อง
จะต้องมีภาษาไทยกำกับ พร้อมแสดงราคา วันผลิตและวันหมดอายุอย่างชัดเจน
2. กรณีซื้อฟิลเลอร์จากอินเตอร์เน็ต
ให้ระแวงว่าเป็นของปลอมไว้ก่อน เพราะอาจไม่ได้ถูกเก็บรักษาคุมอุณหภูมิอย่างถูกวิธี รวมถึงแพทย์จะไม่รับฉีดฟิลเลอร์หิ้วด้วย ดังนั้นไม่สามรถรับรองความปลอดภัยได้เลย
3. ฟิลเลอร์แท้สามารถฉีดให้สลายได้ 100%
หลังการฉีดสลายฟิลเลอร์จะเกิดการยุบตัวลง และสลายหายไปทันทีโดยไม่ตกค้าง หากเคยฉีดฟิลเลอร์ที่อื่นมาก่อน ผ่านเวลาไปแล้ว 1-2 ปีแล้วรู้สึกเป็นก้อน ลองฉีดสลายแล้วก็ไม่หาย เป็นไปได้ว่าฟิลเลอร์ที่เคยฉีดมานั้นอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอม ต้องทำการผ่าตัดเพื่อเอาออกหรือที่เรียกว่าขูดฟิลเลอร์นั่นเองค่ะ
อ่านเพิ่มเติม: 10 จุดสังเกตฟิลเลอร์ปลอม ของแท้ดูยังไง ต้องเช็คอะไรบ้าง?
ฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม?
หากฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นของแท้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญด้านกายวิภาค ระบบประสาทต่างๆบนใบหน้าเป็นอย่างดี แทบไม่มีความเสี่ยงหรืออันตรายจากการฉีดเลย ถือได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูงมาก ไม่มีอันตรายและความเสี่ยงเหมือนกับผ่าตัดค่ะ
อ่านเพิ่มเติม: ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม? มีข้อควรระวัง เพื่อลดความสี่ยงได้อย่างไร
ฉีดฟิลเลอร์ปลอมอันตรายยังไง
การฉีดฟิลเลอร์ของปลอมนั้นมีความอันตรายที่สูงมากเนื่องจาก ฟิลเลอร์ปลอมมีเนื้อที่ไม่มีความบริสุทธิ์และมีส่วนผสมของซิลิโคนหรือพลาสติก จึงสามารถก่อให้เกิดการแพ้ระคายเคืองได้ นอกจากนั้นฟิลเลอร์ปลอมจะไม่สามารถสลายในร่างกายได้ ส่งผลให้เมื่อนานๆ เข้าจะเกิดผลข้างเคียงต่างๆ มากมายเช่น
- พังผืดรัดจนผิดรูป เกิดผิวไม่เรียบเนียน ผิวขรุขระได้
- เกิดการเคลื่อนตัวจนไหลเป็นก้อน
- หลังฉีดอาจเกิดการอับเสบติดเชื้อ
ซึ่งวิธีการรักษาจะเป็นการผ่าตัดทำการขูดเอาเนื้อฟิลเลอร์ปลอมออก เท่านั้นไม่สามารถใช้วิธีการฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยสาร Hyaluronidase ได้เหมือนฟิลเลอร์ของแท้
ฉีดฟิลเลอร์ เจ็บไหม ความรู้สึกขณะฉีดเป็นอย่างไร?
ในสารฟิลเลอร์จะผสมยาชาระงับความเจ็บปวดอยู่แล้ว แต่บางบริเวณที่เป็นจุดรวมเส้นประสาทเช่น ปาก คาง คุณหมอจะแปะยาชาระงับความรู้สึกให้คนไข้ ดังนั้นคนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บขณะฉีดค่ะ อาจรู้สึกตึงๆ และมีรอยฟกช้ำแดงหลังทำในบางเคส ซึ่งเป็นอาการชั่วคราว แพทย์อาจจ่ายยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อลดการอักเสบให้คนไข้ในบางราย ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ต้องทำอย่างไร?
- ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินใบหน้าและแก้ไขปัญหาของคนไข้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์หรือหัตถการในแต่ละแบบเพื่อให้เหมาะกับคนไข้
- ทำความสะอาดใบหน้า ในจุดที่ต้องฉีดฟิลเลอร์ ไม่จำเป็นต้องล้างเครื่องสำอางออกทั้งหมด ล้างเพียงจุดที่ต้องจิ้มเข็มลงไปเท่านั้น
- ให้ความรู้เบื้องต้น แพทย์จะอธิบายยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ฉีดรวมถึงรุ่น พร้อมแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้าต่อหน้าคนไข้เพื่อให้มั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้นเป็นของแท้ และแกะกล่องใหม่ทุกครั้งในการฉีด
- ดูแลและช่วยเหลือ ผู้ช่วยพยาบาลจะประคบน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บจากการจิ้มเข็มลงไป ในฟิลเลอร์จะผสมยาชาลดความเจ็บปวดขณะฉีดอยู่แล้ว
- แนะนำคนไข้ เมื่อฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว คุณหมอจะแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด รวมถึงข้อปฎิบัติตัวต่างๆเพื่อให้ฟิลเลอร์คงสภาพยาวนานที่สุด
ข้อปฏิบัติตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์
- ศึกษาข้อมูลรุ่นและยี่ห้อของฟิลเลอร์เบื้องต้น เพราะบางคลินิกไม่ได้มีฟิลเลอร์ทุกยี่ห้อ รวมถึงศึกษาวิธีสังเกตฟิลเลอร์แท้ปลอม เพื่อความปลอดภัยของคนไข้เอง
- งดยาและวิตามินบางชนิดก่อนฉีดฟิลเลอร์ เช่น ยากลุ่มที่มีผลต่อการแข็งตัวของลิ่มเลือด (แอสไพริน, NSAIDs) รวมถึงงดวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 7 วัน ( น้ำมันปลา , น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส,กระเทียม ,วิตามินอี) หากคนไข้มียาที่ต้องทานเป็นประจำหรือวิตามินอื่นๆนอกเหนือจากที่กล่าว สามารถสอบถามคุณหมอหรือแอดมินอีกครั้งก่อนทำการนัดหมายฉีดฟิลเลอร์ค่ะ
- งดการสครับผิวหน้าหรือแว๊กขนบริเวณที่ต้องฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 7 วัน
- งดเว้นจากการเลเซอร์ผิวหน้าทุกชนิดก่อนการฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 3 วัน
- ไม่ปกปิดโรคประจำตัว หรือยาประจำตัว ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง
- หากคนไข้มีความกังวลเรื่องความเจ็บปวด สามารถแจ้งขอยาชาแปะบริเวณที่จะฉีดได้
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์
- แพทย์อาจจ่ายยาฆ่าเชื้อหรือยาลดบวมเพื่อลดอาการบวมช้ำ ลดการอักเสบให้คนไข้ในบางราย
- หลีกเลี่ยงการกด นวด แตะ บีบ คลึงบริเวณที่ฉีด
- งดกิจกรรมที่ทำให้อุณหภูมิร่างกายร้อน เช่น ออกกำลังกาย ตากแดด ซาวน่า อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด
- งดนั่งหน้าเตาปิ้งย่าง ชาบู หรือบริเวณที่มีไอร้อน อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังการฉีด
- กรณีฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หลีกเลี่ยงการแสดงสีหน้า ยิ้มกว้าง อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังการฉีด
- ควรอยู่ในที่อากาศเย็น อากาศถ่ายเท อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังการฉีด
- งดการขยับหรือนวดหรือพยายามเคลื่อนไหวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ อย่างน้อย 3 วันหลังฉีด เพราะจะทำให้เนื้อสารฟิลเลอร์เคลื่อนได้
- งดการเลเซอร์ผิวที่มีความร้อนอย่างน้อย 1 เดือน
- งดท่านอาหารที่ส่งผลต่อการบวม อักเสบ เช่น อาหารรสจัด แอลกอฮอล์ อาหารหมักดอง อาหารดิบ อย่างน้อย 14 วัน
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 14 วัน
ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ ที่ควรรู้
ในการฉีดฟิลเลอร์หากเลือกใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐานใช้ฟิลเลอร์แท้และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแทบจะไม่พบผลข้างเคียงเลย แม้จะไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงแต่อาจมีผลข้างเคียงที่น้อยมากๆที่อาจเกิดขึ้นได้ดังนี้
- เส้นเลือดอุดตัน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเนื้อตาย และอาจเข้าไปสู่เส้นเลือดที่เลี้ยงดวงตาทำให้ตาบอดได้ซึ่งจะเกิดทันทีขณะฉีด ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมากๆ หากฉีดกับแพทย์เชี่ยวชาญ โอกาสเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยค่ะ ส่วนมากปัญหาที่พบตามข่าวจะเกิดกับคนที่ฉีดกับหมอกระเป๋า (หมอเถื่อน)
- ภาวะฟกช้ำ ที่เกิดจากเข็มผ่านเส้นเลือด กรณีนี้เป็นอาการช้ำชั่วคราว จะหายไปเองในระยะเวลา 3-5 วัน
- ผิวมีลักษณะบวม นูน เป็นก้อน และผิวไม่เรียบ ปัญหานี้เกิดจากการเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะกับบริเวณนั้นๆ เช่น การใช้ฟิลเลอร์ที่มีค่าความคงตัวสูงในบริเวณที่ผิวบาง เช่นใต้ตา ก็จะทำให้ผิวไม่เรียบและเห็นก้อนฟิลเลอร์ได้ กรณีนี้สามารถฉีดสลายได้ค่ะ
- การติดเชื้อเฉียบพลัน ซึ่งเกิดได้น้อยมากๆ ส่วนมากเกิดในกรณีฉีดกับหมอเถื่อน หรือหมอกระเป๋า
ฉีดฟิลเลอร์ แต่ละจุดต้องใช้กี่ CC ?
ยี่ห้อที่แตกต่างกันราคาจะแตกต่างกันด้วย รวมถึงปริมาณที่ต้องฉีดแต่ละจุดจะไม่เท่ากันด้วย ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ไม่จำเป็นต้องฉีดทีเดียวครั้งละมากๆ สามารถทยอยเติมได้จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่คนไข้พึงพอใจ ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและดีไซน์ใบหน้าก่อนการฉีดให้คนไข้ก่อนทุกครั้ง
- หน้าผากใช้ฟิลเลอร์ 3-5 cc
- ขมับใช้ฟิลเลอร์ 2-4 CC
- แก้มลูกส้ม 1-2 CC
- ใต้ตา 2-4 CC
- จมูก 2-3 CC
- ร่องแก้ม1-3 CC
- ริมฝีปาก 1-2 CC
- คาง 1-2 CC
ฉีดฟิลเลอร์ ราคา เริ่มต้นเท่าไหร่?
คุณหมอได้สรุปราคาฟิลเลอร์รุ่นต่างและความเหมาะสมในการฉีดแต่ละจุดให้คนไข้แล้ว เมื่อคนไข้เข้ามาปรึกษาคุณหมอจะประเมินใบหน้าให้อีกครั้งค่ะ
ฟิลเลอร์ สำหรับปรับรูปหน้า
- Juvederm (USA) เริ่มต้น 1cc = 10,693 บาท
- Restylane (Sweden)เริ่มต้น 1cc = 8,623 บาท
- Belotero (Switzerland)เริ่มต้น 1cc = 7,896 บาท
- Neuramis (Korea)เริ่มต้น 1cc = 5,966 บาท
- Restylane kyss (สำหรับฉีดปาก) เริ่มต้น 1cc = 13,693 บาท
ฟิลเลอร์ สำหรับงานผิว
- Juvederm Volite (USA) เริ่มต้น 1cc = 10,999 บาท
- Belotero revive (Switzerland) เริ่มต้น 1cc = 12,323 บาท
ฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี?
ในปัจจุบันคลินิกความงามมีมากมาย การฉีดฟิลเลอร์มีเกือบทุกคลินิก แต่ใช่ว่าจะฉีดที่ไหนก็ได้ เพราะแพทย์ต้องมีรู้การฉีดฟิลเลอร์และสามารถดีไซน์ใบหน้าจุดที่เหมาะสมในการฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีได้ หากไม่รู้ว่าจะฉีดที่ไหนดี? หลักการพิจารณาการเลือกคลินิก มีหลักการพิจารณาดังนี้ค่ะ
- เลือกคลินิกที่ได้รับรองมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข
- มีรายชื่อแพทย์ชัดเจน ตรวจสอบได้
- คลินิกเปิดเผยยี่ห้อ สภาพกล่องและขวดฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดต่อหน้าคนไข้อย่างตรงไปตรงมา
- มีการติดตามผลหลังการฉีด
- มีที่ตั้งตำแหน่ง เบอร์ติดต่อชัดเจน สามารถนัดคิวล่วงหน้าปรึกษาได้
- ที่จอดรถสะดวกและมีสาขาให้บริการเพื่อความสะดวกของผู้ใช้บริการ
- มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงจากแหล่งข้อมูลที่เป็นกลาง
คำถามเพิ่มเติม
ถ้าฟิลเลอร์สลายแล้วจะทำให้หน้าแก่จริงไหม
คำตอบคือไม่เลย เนื่องจากสารไฮยาลูรอนิคเอซิดในตัวฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยทำให้ผิวส่วนนั้นเกิดความชุ่มชื้นขึ้นจึงถือเป็นการช่วยชะลอผิวให้แก่ขึ้นช้าลงมากกว่า แต่การสลายตัวของฟิลเลอร์อาจทำให้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก หลุมสิวต่างๆ สามารถกลับมามีเหมือนเดิมได้
นานแค่ไหนกว่าจะฉีดเติมฟิลเลอร์ได้
หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่พึ่งพอใจกับผลลัพธ์คนไข้สามารถกลับมาฉีดเติมได้เลยทันที แต่ส่วนใหญ่แพทย์จะรอให้ดูผลลัพธ์หลังฉีดรอบแรกก่อนประมาณ 2 สัปดาห์เพราะเป็นระยะเวลาที่เนื้อฟิลเลอร์เข้าที่ได้แบบสมบูรณ์ที่สุด
ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมกี่วัน กี่วันเข้าที่
หลังฉีดฟิลเลอร์บางรายอาจมีอาการบวมแดงได้ ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเองภายใน 1-3 วันซึ่งสามารถใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยบรรเทาอาการบวมให้ลดลงไวยิ่งขึ้นได้
รีวิว ฉีดฟิลเลอร์ Before/After หลังทำ
ความกังวลในการฉีดฟิลเลอร์ของคนไข้ที่เราพบบ่อยมากที่สุด คือ กังวลว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดไปจะไม่สลาย กลัวว่าฟิลเลอร์จะตกค้าง หรือกลัวฉีดแล้วทำให้หน้าแข็ง ผิวไม่เรียบเป็นรอยนูน ปัญหาเหล่านี้มักเกิดจากการฉีดโดยหมอกระเป๋าและใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือการเลือกรุ่นฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม เพราะฟิลเลอร์แท้เนื้อสารจะบริสุทธิ์สามารถสลายเองได้ 100% โดยไม่ตกค้างในร่างกาย
ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์หลังการฉีด สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกที่น่าเชื่อถือ และดำเนินหัตถการโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อให้ผลลัพธ์หลังการฉีดพึงพอใจและปลอดภัย
สำหรับคนไข้มีข้อสงสัยต้องการปรึกษาเพิ่มเติม สามารถแอดไลน์ @gangnamclinic และช่องทาง Facebook inbox ปรึกษาออนไลน์และติดตามโปรโมชั่นได้ทางไลน์เลยค่ะ สามารถนัดหมายปรึกษากับแพทย์ได้ที่ กังนัมคลินิก สาขาใกล้บ้านท่านได้เลยค่ะ