หน้าบาน หน้าใหญ่ ลดยังไงดี? คนที่หน้าบานมากควรแก้วิธีไหนถึงได้ผล
ปัญหาหาหน้าใหญ่ หน้าบานถือเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ส่งผลต่อความมั่นใจของใครหลายๆ คน เพราะด้วยค่านิยมตามหลัก Beauty Standard ที่เข้ามามีอิทธิพลว่าคนสวยจะต้องมีรูปหน้าที่เรียวเล็ก มีกรอบหน้าที่ชัด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เทรนด์ความงามปัจจุบันนี้มุ่งเน้นไปที่การปรับรูปหน้าเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาไขสาเหตุของปัญหาหน้าบาน พร้อมแจก 5 วิธีในการปรับรูปหน้าลดหน้าบาน
หน้าบาน คืออะไร มีลักษณะเป็นยังไง?
หน้าบาน คือลักษณะของรูปใบหน้าที่มีความกลม มีแก้มเยอะ บางคนมีรูปคางที่เหลี่ยม มีกระดูดกรามที่ใหญ่ส่งผลให้รูปหน้ามีลักษระใหญ่ไม่สมส่วน สร้างความไม่มั่นใจแก่ผู้เป็น
ปัญหาหน้าบาน เกิดจากอะไรได้บ้าง?
สาเหตุของปัญหาหน้าบานนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัยหลักๆ ก็คือพันธุกรรม และจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
พันธุกรรม
เช่น บางคนมีโครงหน้าใบหน้า มีกระดูกกราม กระดูกขากรรไกรใหญ่มาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็นการสืบต่อกรรมพันธุ์กันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย
พฤติกรรมการใช้ชีวิต
ในสาเหตุนี้สามารถจำแนกได้ออก 2 แบบคือ พฤติกรรมการทาน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาทิเช่น
- พฤติกรรมการทาน : อย่างการชอบทานอาหารมัน ของทอด อาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล เกลือ และไขมันสูง ส่งผลให้ร่างกายเกิดการผลิตไขมันไปไว้ที่ใบหน้า ทำให้หน้ากลมหน้าบานจากไขมันนั่นเอง
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต : ตัวอย่างเช่น การเคี้ยวมากฝรั่ง การทานอาหารที่ต้องใช้แรงเคี้ยวที่มาก ซึ่งการทานอาหารจำพวกนี้จะทำให้กล้ามเนื้อกรามมีความใหญ่และแข็งขึ้นบางรายอาจทำให้ดูกลายเป็นคนหน้าเหลี่ยมได้เลย
5 วิธีลดหน้าบาน แต่ละวิธีเหมาะกับใคร?
หลังจากที่ทราบถึงสาเหตุปัญหาหน้าบานกันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันบ้างว่ามีวิธีไหนบ้างที่สามารถแก้ปัญหาหน้าบาน หน้าใหญ่แบบเห็นผลไว และปลอดภัยต่อคนไข้
1. ฉีดโบท็อกแก้หน้าบาน
การฉีดโบท็อก (Botox) คือการฉีดสาร Botulinum Toxin ที่สกัดมาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งเพื่อฉีดเข้าไปที่กล้ามเนื้อ โดยการทำงานคือตัวยาจะเข้าไปรบกวนระบบประสาทที่สั่งงานกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อหยุดทำงานและค่อยๆ หดตัวลง ทำให้ใบหน้าดูเล็กลงโดยจะเริ่มเห็นผลประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังฉีดและจะเห็นผลแบบชัดเจนที่สุดคือประมาณ 1-2 เดือนหลังฉีด วิธีนี้นิยมฉีดที่บริเวณกล้ามเนื้อกราม
โดยในการฉีด 1 ครั้งจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ประมาณ 6-12 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณที่ฉีดแต่ส่วนใหญ่แล้วในการฉีดโบลดกรามนั้นจะใช้ปริมาณอยู่ที่ 20-30 ยูนิตต่อข้าง ซึ่งยี่ห้อโบท็อกที่แนะนำคือ Xeomin (เยอรมัน), Nabota (เกาหลี) และ Allergan (อเมริกา)
ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดโบท็อกกราม
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
– ช่วยลดริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้เข้ารูปมากยิ่งขึ้น – ช่วยลดขนาดกรามปรับหน้าเรียว วีเชฟ – ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องเจ็บตัว – สามารถฉีดเติมได้เรื่อยๆ หากไม่พอใจผลลัพธ์ | – ไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ – ไม่สามารถเห็นผลได้แบบถาวร – หากฉีดโดยแพทย์ไม่ชำนาญอาจเกิดปัญหา หน้าตึง แสดงอารมณ์ทางสีหน้าไม่ได้ – หากฉีดด้วยโบท็อกที่ไม่ได้มาตรฐานอาจเกิดการดื้อยาได้ |
วิธีเหมาะกับใครบ้าง : เหมาะมากกับคนที่ปัญหากรามใหญ่ ต้องการลดขนาดกราม ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสมส่วนมากขึ้น
ราคาและค่าใช้จ่าย :
- Xeomin 100 ยูนิต = 12,323 บาท
- Nabota 50 ยูนิต = 3,696 บาท, 100 ยูนิต = 5,696 บาท
- Allergan 100 ยูนิต = 18,000 บาท
2. ฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าแก้หน้าบาน
คือการฉีดสารเติมเต็มอย่าง กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) ที่สกัดมาจากธรรมชาติทำให้มีความบริสุทธิ์แล้วสามารถเข้ากับร่างกายได้ โดยวิธีนี้จะใช้การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปที่คางปรับส่วนคางให้ยาวขึ้น เพื่อให้ใบหน้าดูเรียวยาวและสมส่วนมากยิ่งขึ้น
โดยวิธีนี้จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังฉีดและสามารถเห็นผลได้นาน 6-18 เดือนขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ ถือเป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะมีความปลอดภัยหากทำแล้วไม่พอใจสามารถแก้ไขได้ง่ายด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์ ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่แนะนำคือ Restylane, Juvederm และ Belotero
ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
– เห็นผลได้ทันทีหลังฉีด – หลังจากครบอายุฟิลเลอร์จะสลายไปเอง ไม่ทิ้งสารตกค้าง ไม่เป็นอันตราย – หลังทำถ้าไม่พอใจผลสามารถแก้ไขได้ทั้งฉีดเพิ่มและฉีดสลาย | – เห็นผลไม่ถาวร ต้องไปฉีดเติมเพื่อคงผลลัพธ์ – ไม่สามารถเสริมความยาวคางให้มากกว่า 1 ซม. ได้ |
วิธีเหมาะกับใครบ้าง : เหมาะกับคนที่มีปัญหาคางสั้น ทำให้ใบหน้ากลม หน้าบาน ซึ่งวิธีการฉีดฟิลเลอร์คาง จะช่วยเพิ่มความยาวให้ใบหน้าดูเรียวได้สัดส่วนขึ้น
ราคาและค่าใช้จ่าย :
- Restylane เริ่มต้น 1cc = 8,623 บาท
- Juvederm เริ่มต้น 1cc = 10,662 บาท
- Belotero เริ่มต้น 1cc = 7,896 บาท
3. ฉีดเมโสแฟตแก้หน้าบาน
การฉีดแฟต คือ การฉีดตัวยาเพื่อเข้าไปสลายไขมัน ทำให้ไขมันเกิดการแตกตัวและถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ เพื่อให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น หน้าเล็กลง วิธีนี้จะเริ่มเห็นผลได้ประมาณ 1-3 สัปดาห์หลังฉีดโดยหลังจากฉีดครั้งแรกจะเริ่มเห็นผลลัพธ์อยู่ที่ประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์และเห็นผลได้นานประมาณ 3 เดือน
ซึ่งข้อแนะนำคือควรมาฉีดอย่างต่อเนื่องติดครั้ง 3-5 ครั้งโดยเว้นช่วงแต่ละครั้ง 5-7 วัน จากนั้นก็สามารถเป็นเดือนละ 1 ครั้งหรือ 3 ครั้งแล้วแต่ความต้องการเห็นผลของคนไข้
ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดเมโสแฟต
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
– ช่วยลดไขมันแก้ม และช่วยลดไขมันเฉพาะจุดได้ดี – ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีรอบแผลเป็นหลังทำ – สามารถแก้ปัญหาเซลลูไลท์ได้ ขณะทำไม่เจ็บ และไม่ต้องใช้ยาชา | – ไม่สามารถเห็นผลได้ทันที – ต้องเข้าฉีดอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ – หลังฉีดช่วง 3-4 วันแรกอาจทำให้หน้าบวมเพราะเกิดการร่างกายตอบสนองต่อตัวยา |
วิธีเหมาะกับใครบ้าง : เหมาะมากกับคนที่มีปัญหาแก้มเยอะ มีไขมันสะสมที่แก้ม และต้องการลดไขมันเพื่อให้ใบหน้าเรียวเข้ารูปมากยิ่งขึ้น
ราคาและค่าใช้จ่าย : ครั้งละประมาณ 1,500 บาท
เคสตัวอย่างการแก้ปัญหาหน้าบานด้วยการฉีดแฟตสลายไขมัน
4. Ultraformer lll ยกกระชับปรับหน้าบาน
เป็นเครื่องยกกระชับและปรับรูปหน้าด้วยคลื่นความถี่สูงที่มีพลังงานเข้มข้นอย่าง Micro & Macro Focused Ultrasound หรือ MMFU โดยหลังการคือการยิงส่งคลื่นพลังงานลงไปยังชั้นผิวต่างๆ ตัวเครื่องจะมีหัวยิง 3 ระดับทำให้สามารถยิงส่งพลังงานได้ลึกสุดถึงขั้นผิว SMAS (ชั้นผิวที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า) หลังทำใบหน้าจะค่อยๆ กระชับและเรียวขึ้นภายใน 1-2 เดือนหลังทำ
โดยสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และในการทำ 1 ครั้งสามารถเห็นผลได้นาน 6-12 เดือน และยังสามารถใช้ได้กับทั้งบริเวณหน้าและลำตัวอีกด้วย ซึ่งจำนวนช็อตที่ใช้กับหน้านั้นจะอยู่ที่ประมาณ 300-500 ช็อตขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์
ข้อดี-ข้อเสียของการทำ Ultraformer lll
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
– เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ – ช่วยสลายไขมัน ลบริ้วรอย ทำให้ผิวกระชับขึ้น – ลดเหนียง ปรับกรอบหน้าได้ดี – ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวได้ดี | – ต้องมาทำทุกๆ 6 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์ – หลังทำอาจเกิดอาการผิวเป็นรอยแดง หรือหน้าบวมได้ |
วิธีนี้เหมาะกับใครบ้าง : เหมาะกับคนที่ต้องการสลายไขมันที่หน้า ต้องการปรับยกกระชับผิวให้เต่ตึงขึ้น และคนที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่างๆ และต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย
ราคาและค่าใช้จ่าย : ประมาณ 3,500-15,000 บาท
5. ศัลยกรรมผ่าตัดแก้หน้าบาน
ถือเป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นการเจ็บครั้งเดียวแต่จบแล้วก็สามารถแก้ปัญหารูปหน้าได้อย่างตรงจุด ซึ่งการผ่าตัดศัลยกรรมนั้นจะมีเทคนิคและวิธีการที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ปัญหาของแต่ละคน อาทิเช่น บางคนเหมาะกับการเหลากราม บางคนต้องปรับกระดูกคางให้ยาวขึ้น ทั้งนี้ก่อนทำคนไข้ควรเข้ารับการปรึกษากับศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดเสียก่อน แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้วิธีการผ่าตัดแบบมีแผลในปากทำให้คนไข้ไม่ต้องกังวลเรื่องแผลเป็นเลย
ข้อดี-ข้อเสียของการทำผ่าตัดศัลยกรรม
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
– สามารถเห็นผลได้แบบถาวร – ช่วยปรับแก้รูปหน้าได้อย่างตรงจุด – สามารถเลือกและออกแบบโครงหน้าที่ต้องการได้ | – หลังทำต้องพักฟื้นนานหลายสัปดาห์ – เป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้เวลานานประมาณ 3-6 ชั่วโมง – เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องการใช้ยาสลบ – ต้องตัวเองตัวเองหลังทำอย่างระมัดระวัง |
วิธีนี้เหมาะกับใครบ้าง : เหมาะกับคนที่มีปัญหารูปหน้าค่อนข้างเยอะ เช่น รูปคางสั้น กระดูกขากรรไกรใหญ่และต้องการปรับรูปหน้าแบบถาวร
ราคาและค่าใช้จ่าย : ประมาณ 60,000-200,000 บาท
การดูแลตัวเองและปรับพฤติกรรมการกินให้หน้าเล็กลง
ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาหน้าบานนั้นนอกจากทั้ง 5 วิธีด้านบนเรายังมีอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลตัวเองนั้นก็คือการทานอาหารนั่นเอง
- ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้ระบบต่างๆ ของร่างกายสามารถทำงานได้ดี นอกจากยังมีงานวิจัยออกมาว่าคนที่ดื่มน้ำน้อยจะมีโอกาสการเกิดอาการบวมน้ำได้มากกว่าคนที่ดื่มน้ำอย่างเพียง ซึ่งอาการบวมน้ำส่วนใหญ่มักจะเกิดที่ใบหน้านั่นเอง
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้จะมีปริมาณแคลอรีที่มาก ส่งผลให้เกิดความอ้วนและนอกจากนั้นยังส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำได้สูงอีกด้วย
- งดทานขนม ของหวาน รวมไปถึงอาหารที่มีสารโซเดียมเยอะ อาทิเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แล้วหันไปทานผัก ผลไม้แทน เพื่อช่วยลดการบริโภคแป้ง น้ำตาล ที่เป็นสาเหตุที่ให้หน้าบวม หน้าบานและทำให้น้ำหนักขึ้น
- ควบคุมปริมาณอาหารแต่ละมื้อ แน่นอนว่าการทานอาหารในปริมาณมากๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายสามารถผลิตไขมันออกมาได้มากเช่นกัน ดังนั้นควรทานอาหารในแต่มื้อให้พอดีไม่มากเกินไป
วิธีเลือกคลินิกแก้ปัญหาหน้าบานให้ปลอดภัย
การเลือกคลินิกถือเป็นอีกประเด็นสำคัญอย่างมาก เพราะแน่นอนว่าก็ไม่มีใครอยากรับบริการในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะนอกจากจะทำไปแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ยังเสี่ยงต่อความอันตรายอีกด้วย ดังนั้นก่อนเข้ารับบริการที่คลินิกไหนควรตรวจสอบตามลิสดังนี้
- คลินิกเปิดให้บริการตามกฎหมาย มีใบรับรองการเปิดสถานพยาบาล มีแพทย์ประจำคลินิก
- คลินิกมีการใช้ตัวยาและเครื่องมือต่างๆ ของแท้ ที่สามารถตรวจสอบได้กับทางบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย
- มีที่ตั้งคลินิกที่แน่นอน และที่ตั้งจะต้องเป็นที่เดียวกันกับใบรับรองเปิดสถานพยาบาล
- มีช่องทางการติดต่อที่สะดวกต่อผู้รับบริการไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ไลน์ หรือเบอร์โทร
- การทำหัตถการส่วนใหญ่ควรเป็นแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำการให้ และควรจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือผ่านการอบรมสำหรับการทำหัตถการนั้นๆ มาก่อน
- มีราคาที่สมเหตุสมผลไม่ถูกและแพงเกินไป เพราะหากราคาถูกเกินไปอาจเป็นตัวยาหรือเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน
- มีรีวิวจากลูกค้าจริงที่สามารถเชื่อถือได้ ทั้งในการบริการ การดูแลก่อนและหลังทำ
สรุป
วิธีการแก้ปัญหาหน้าบานแบบปลอดภัยนั้นมีทั้งหมด 5 วิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากมายนั่นก็คือ การฉีดโบท็อก การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดเมโสแฟต การใช้เครื่องยกกระชับอย่าง Ultraformer III ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถเห็นผลได้นานประมาณ 6-12 เดือน และการผ่าตัดศัลยกรรมที่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างถาวร โดยแต่ละวิธีต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไปตามปัญหาของแต่ละคน และสามารถทำร่วมกันได้หลายๆ วิธีแต่ทั้