บีบสิวได้หรือไม่? รักษาสิวด้วยวิธีไหนถึงจะปลอดภัย ไม่ทำร้ายผิว

บีบสิวดีไหม

การบีบสิว ถือเป็นวิธีการรักษาสิวอย่างเร่งด่วนที่หลายคนเลือกใช้ในเวลาที่ต้องการรักษาสิวให้หายไวขึ้น แต่ทว่าในความจริงแล้วเราควรบีบสิวไหม บีบสิวแล้วจะมีข้อเสียมากมาย เช่น การบวม การติดเชื้อได้จริงหรือไม่ในบทความนี้เราได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการบีบสิวมาไว้ให้แล้ว

สิวคืออะไร เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร

สิว (Acne) คือปัญหาผิวประเภทหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของรูขุมขน มักมีปัจจัยในการกระตุ้นการเกิดได้หลายประการไม่ว่าจะเป็น การที่ต่อมไขมัน (Sebum) ผลิตไขมันออกมามากเกิดปกติ การอักเสบของรูขุมขน การมีเชื้อโรคหรือแบคทีเรียเข้ามากระตุ้นให้เกิดการอักเสบ จนเกิดเป็นตุ่มสิวเกิดขึ้นในชั้นผิวนั่นเอง

สิวมีทั้งหมดกี่ประเภท ต่างกันอย่างไร

สิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ จากสาเหตุการเกิดสิว ลักษณะของเม็ดสิวและระดับความรุนแรงของเม็ดสิวนั่นเอง ได้แก่

สิวไม่อักเสบvsสิวอักเสบต่างกันอย่างไร

1. สิวที่ไม่อักเสบ

หรือที่หลายคนเรียกว่าอุดตัน ซึ่งจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนซ่อนอยู่ใต้ผิว ทำให้ผิวเกิดความไม่เรียบเนียน ซึ่งสิวประเภทนี้หากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้เกิดเป็นรอยหรือหลุมสิวได้ในอนาคต ซึ่งสิวแบบไม่อักเสบนั้นก็สามารถแบ่งออกได้อีก 3 แบบคือ

  • สิวอุดตันแบบไม่มีหัว (Microcomedone) มักเกิดที่บริเวณหน้าและคาง จะมีลักษณะเม็ดสิวเป็นเม็ดเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ใต้ผิว
  • สิวหัวดำ (Blackheads) เป็นสิวอุดตันประเภทหัวเปิด จะมีหัวสิวสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มอยู่ภายในตุ่มสิว
  • สิวหัวขาว (Whiteheads) เป็นสิวอุดตันแบบหัวปิด โดยจะมีหัวสิวสีขาวอยู่ข้างในสิวประเภทนี้จะกดออกยากกว่าสิวหัวดำ

2. สิวที่มีการอักเสบ

หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า สิวอักเสบ โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขึ้นมาร่วมกับมีหัวสิวหรือน้ำสีเหลืองคล้ายน้ำหนองอยู่ในเม็ดสิว และจะมีขนาดของเม็ดสิวที่ใหญ่กว่าสิวแบบไม่อักเสบ ซึ่งจะสามารถแบ่งออกได้เป็น

  • สิวหัวช้าง (Nodules) เป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่มีหัวสิวอยู่ลึกในชั้นผิว สิวประเภทนี้เวลาเกิดมักมีอาการบวม แดงและเจ็บร่วมด้วย สามารถ
  • สิวหนอง (Pustules) เป็นสิวที่จะมีหัวหนองโผล่ขึ้นมาให้เห็น มักมีอาการแดงหรือในบางครั้งอาจมีอาการปวดร่วมด้วย
  • สิวซีสต์  (Cysts) เป็นสิวอักเสบที่มีความรุนแรงอย่างมาก โดยจะมีตุ่มหนองขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ใต้ชั้นผิวซึ่งในบางรายอาจมีเลือดและหนองปนร่วมด้วย
  • สิวตุ่มนูนแดง (Papules) เป็นสิวอักเสบที่มีขนาดเล็กที่สุดไม่ขนาดไม่เกิด 0.5 ซม. มักไม่มีอาการเจ็บร่วมด้วย

3. สิวประเภทอื่น ๆ

สิวประเภทนี้มักเป็นสิวที่เกิดขึ้นจากการแพ้หรืออาการอักเสบของผิว หรือมีปัจจัยอื่น ๆ มาเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดสิวขึ้น เช่น

  • สิวกลาก (Acne Mechanica) มีสาเหตุการเกิดมาจากการเสียดสีของผิวจนทำให้ผิวอักเสบกลายเป็นเม็ดสิว
  • สิวจากยา (Drug-Induced Acne) การใช้ยาบางประเภทจะไปกระตุ้นทำให้เกิดสิวขึ้น เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์นั่นเอง
  • สิวจากเครื่องสำอาง (Cosmetic Acne) มักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากการใช้เครื่องสำอางหรือเกิดจากการแพ้เครื่องสำอางนั่นเอง
  • สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) มักเกิดในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน ช่วงตั้งครรภ์เป็นต้น

    เป็นสิวควรบีบสิวเองดีไหม

    แน่นอนว่าการบีบสิวเองนั้นถือเป็นวิธีที่แพทย์ผิวหนังหลาย ๆ คนไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะเป็นการรักษาเม็ดสิวให้หายไปแบบผิววิธีซึ่งจะก่อให้ผลเสียที่ตามมาได้หลายอย่าง เช่น การเกิดรอยแผลเป็น เกิดหลุมสิว หรืออาจมีความรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อได้ จึงถือว่าการบีบสิวเองนั้นเป็นวิธีที่ค่อนข้างมีความอันตรายอยู่มากเหมือนกัน

    สิวแบบไหนที่ควรบีบและไม่ควรบีบเอง

    ลักษณะสิวที่สามารถบีบเองได้

    สิวแบบไหนที่บีบเองได้
    • สิวหัวหนอง ซึ่งจะเป็นตุ่มสิวที่มีหนองอยู่ข้างในโดยสามารถบีบเพื่อระบายเอาน้ำออกเองได้ แต่ก็ควรบีบอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดรอยดำหรือรอยแดงภายหลัง
    • สิวหัวดำแบบหัวเปิด จะเป็นลักษณะสิวที่มีหัวดำ แต่หัวสิวจะมีการเปิดออกโดยเราสามารถบีบเอาก้อนหัวสิวสีดำออกมาได้อย่างง่ายดาย
    • สิวหัวขาว จะเป็นตุ่มสีขาวขนาดเล็กซ่อนอยู่ใต้ผิว ซึ่งสามารถบีบออกมาได้แต่ควรใช้อุปกรณ์อย่างเข็มเปิดหัวสิวในการช่วยเปิดรูสิวและกดเอาหัวสิวออก
      ซึ่งการกดสิวประเภทด้านบนที่กล่าวมานี้ควรทำอย่างระมัดระวัง หรือเลือกทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันรอยแผลเป็น รวมไปถึงควรมีการดูแลผิวหลังบีบสิวให้ดีทุกครั้งหลังบีบสิว

    ลักษณะสิวที่ไม่สามารถบีบเองได้

    สิวแบบไหนที่ไม่ควรกด
    • สิวอุดตันหัวปิด เนื่องจากว่าจะไม่มี ทำให้ไม่สามารถกดออกได้เอง อาจจะต้องใช้เลเซอร์หรือเข็มเพื่อช่วยเปิดหัวสิวก่อนค่อยกดออก
    • สิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบที่มีความรุนแรงมากที่สุด มีตุ่มหนองขนาดใหญ่อยู่ใต้ตุ่มสิว ดังนั้นไม่ควรบีบเองเพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อและหลุมสิวได้
    • สิวผด จะเป็นสิวที่ไม่มีหัว กดไปแล้วไม่เจออะไร และยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหลังบีบได้ง่าย
    • สิวอักซีสต์ อีกหนึ่งประเภทสิวที่มีหนองอยู่ภายในตุ่มสิว ซึ่งมักจะมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย และควรบีบสิวเองเพราะจะทำให้เกิดการลุกลามเสี่ยงต่อการเกิดสิวซ้ำได้ง่าย

    ข้อเสียของการบีบสิวเอง

    ข้อเสียของการบีบสิวเอง

    อีกหนึ่งข้อสำคัญเลยก็คือการบีบสิวเองนั้นมักจะมีการเกิดข้อเสียตามมาได้หลายประการด้วยกัน ดังนี้

    • เกิดรอยช้ำ
      มักเกิดมาจากการบีบสิวเองที่ในระหว่างบีบอาจลงน้ำหนักมือที่แรงเกิดนไปจนทำให้ผิวเกิดรอยช้ำขึ้น ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 3-4 วันรอยช้ำถึงจะจางลงไป
    • เกิดการอักเสบ
      เนื่องจากว่าการบีบสิวนั้นจะเปิดอีกหนึ่งโอกาสที่จะทำให้เชื้อโรค สิ่งสกปรกและแบคทีเรียเข้าสู่ชั้นผิวจนทำเกิดการอักเสบที่มากขึ้นมากกว่าเดิมได้
    • เกิดเป็นรอยแผลเป็น
      ถือเป็นอีกอาการที่มักเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ หลังทำการบีบหรือกดสิว ซึ่งรอยแผลเป็นมักจะมาในรูปแบบของรอยดำหรืออาการหลุมสิวนั่นเอง ซึ่งทั้งรอยประเภทรอยแผลนั้นจะใช้วิธีการรักษาและใช้ระยะเวลาในการรักษาที่นานและยุ่งยากมากกว่าการรักษาสิวหลายเท่า
    • เกิดการติดเชื้อ
      ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ถึงแม้จะเกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม ดังนั้นแพทย์จึงได้มีห้ามสำหรับการกดหรือบีบสิวเองในบริเวณ 2 ตำแหน่งหลัก ๆ ได้แก่
      บริเวณรอบจมูก:เนื่องจากส่วนจมูกจะมีเยื่อบุที่มีความต่อเนื่องไปยังส่วนภายในโพรงจมูกซึ่งเป็นจุดที่มีเส้นเลือดจำนวนมาก ซึ่งเส้นเลือดเหล่านั้นจะส่งผลต่อส่วนของสมองและดวงตา ดังนั้นหากมีการติดเชื้อจากการบีบสิวบริเวณจมูกก็อาจทำให้เชื้อมีการแพร่กระจายไปยังส่วนสมองและดวงตาได้
      บริเวณรอบริมฝีปาก:อีกเป็นหนึ่งบริเวณที่แพทย์ไม่แนะนำให้บีบสิวอย่างเด็ดขาด เพราะอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่สามารถแพร่กระจายไปยังส่วนปอดได้เช่นกัน
    • เกิดอาการบวม
      ถือเป็นปกติอย่างมาก สำหรับอาการบวมหลังกดสิว หรือบีบสิว เนื่องจากจะเป็นการใช้แรงในการบีบเพื่อเอาหัวสิวออกจากจึงทำให้ผิวหนังที่มีความบอบบางจากการโดยเชื้อโรค แบคทีเรียทำร้ายผิวอยู่เกิดการบวมอักเสบขึ้นได้นั่นเอง
    • เสี่ยงต่อการเกิดสิวซ้ำ
      นั่นก็เป็นเพราะว่าบางทีเราบีบสิวเองแล้วทำความสะอาดแผลไม่ดี หรือเอาหัวสิวออกมาไม่หมดจนทำให้อาจก่อให้เกิดสิวซ้ำซากขึ้นได้ในภายหลัง

    ตำแหน่งที่ไม่ควรบีบสิวเอง

    ตำแหน่งสิวที่ไม่ควรบีบเอง

    สำหรับตำแหน่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งในการบีบสิวนั่นได้มีอยู่หลายจุดด้วยกันนั้นก็คือ บริเวณหน้าผาก รอบดวงตา รอบจมูกและรอบริมฝีปาก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในสมองและปอดได้ ดังนั้นหากเป็นสิวในบริเวณดังกล่าวแนะนำให้เข้าพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาทางรักษาในวิธีอื่น ๆ ต่อไป

    วิธีการบีบสิวด้วยตนเองให้ปลอดภัย

    สำหรับใครที่ต้องการบีบสิวเองเพื่อรักษาสิวที่มีให้หายอย่างเลี่ยงไม่ได้นั้น เราขอแนะนำวิธีการบีบสิวให้ปลอดภัยต่อผิวหน้า ดังนี้

    1. เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการบีบสิวให้ครบ เช่น ที่กดสิว เข็มที่หรือเปิดหัวสิว น้ำเกลือ แอลกอฮอล์สำหรับล้างแผล สำลีเช็ดแผลเป็นต้น
    2. เริ่มจากการล้างทำความสะอาดผิว เช็ดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกให้หมด
    3. เริ่มทำการกดสิวด้วยการใช้อุปกรณ์เปิดหัวสิวหรือเข็ม จากนั้นจึงค่อย ๆ ดเอาหัวสิวออกอย่างระวัง ไม่ควรลงน้ำหนักที่แรงเกินเพราะอาจจะทำให้เกิดผิวช้ำ
    4. เช็ดทำความสะอาดผิวด้วยน้ำเกลือหรือแอลกอฮอล์สำหรับล้างแผล

    วิธีการดูแลตัวเองหลังบีบสิวมีอะไรบ้าง

    • การทำความสะอาดผิว : ไม่ว่าจะเป็นการเช็ดด้วยแอลกอลฮอล์ทำความสะอาดแผล น้ำเกลือ หรือน้ำอุ่นเพื่อล้างสิ่งสกปรกหรือแบคทีเรียที่ยังเกาะอยู่บนผิวเพื่อป้องกันการเกิดสิวซ้ำ
    • ประคบเย็นเพื่อลดอาการอักเสบ : การประคบเย็นประมาณ 5-10 นาทีหลังบีบสิวจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ รอยแดง และอาการบวมหลังบีบสิวได้ดีอย่างมาก
    • บำรุงผิวเพื่อลดอาการอักเสบของผิว : ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนโดยการเน้นใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว
    • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว : เช่น AHA BHA Retinol รวมไปถึงการขัดหรือสครับผิวหลังทำเป็นต้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะไปกระตุ้นทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่ายมากขึ้น
    • การทาครีมกันแดดเป็นประจำ : เนื่องจากครีมกันแดดมีส่วนสำคัญในการช่วยปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดหรือแสงไฟทำร้าย และยังมีส่วนช่วยในการลดอาการระคายเคืองผิว อาการแสบแดงได้อีกด้วย

    แนะนำวิธีการรักษาสิวด้วยตนเอง

    วิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง

    ซึ่งแน่นอนว่าการบีบสิวนั่นถือเป็นวิธีที่แพทย์หลายคนไม่แนะนำอย่างยิ่ง ดังนั้นเราเลยจะขอแนะนำว่าการรักษาสิวด้วยตนเองแบบง่าย ๆ ดังนี้

    1. ใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว

    แน่นอนว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนั้นก็ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดูแลรักษาสิว ซึ่งควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม ออยล์ แอลกอฮอล์ และเลือกใช้ในกลุ่มที่มีส่วนผสมดังต่อไป

    • กลุ่มสารผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA, BHA และกรดซาลิไซลิก
    • กลุ่มที่ช่วยเสริมความชุ่มชื้นและช่วยปลอบประโลมผิวให้ผิวอย่าง ไฮยาลูรอนิค
    • กลุ่มที่มีสารช่วยปลอบประโลมผิวอย่าง Ceramides, Niacinamide และ Panthenol เป็นต้น

    2. เลี่ยงการแต่งหน้า

    การแต่งหน้านั้นจะยิ่งไปกระตุ้นทำให้สิ่งสกปรกไปเกาะที่ผิวได้ง่ายขึ้น และยังมีส่วนกระตุ้นทำให้ผิวเกิดการอุดตันจนนำไปสู่การเกิดสิวได้ ดังนั้นหากใครเป็นสิวเยอะ ๆ เป็นสิวบ่อย ๆ แนะนำให้เลี่ยงการแต่งหน้าในช่วงรักษาสิวก่อน

    3. ใช้แผ่นแปะสิว

    ถือเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่ช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกไปรบกวนหัวสิวจนทำให้เกิดการอักเสบมากกว่าเดิมได้ นอกจากนั้นในปัจจุบันแผ่นแปะสิวหลาย ๆ ยี่ห้อก็ได้มีการใส่ส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบของสิวได้อีกด้วยจึงเหมาะอย่างกับกลุ่มสิวอักเสบที่มีหัวนั่นเอง

    4. หมั่นรักษาความสะอาด

    สำหรับใครที่เจอปัญหาสิวก็จะทราบกันดีว่าการรักษาความสะอาดเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความสะอาดผิวที่มักเกิดสิวบ่อย ๆ รวมไปถึงพวกอุปกรณ์แต่งหน้า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ชุดเครื่องนอนและพวกผ้าเช็ดตัวต่าง ๆ ให้ดีเพื่อไม่ให้เป็นสิ่งสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียจนก่อให้เกิดสิวได้นั่นเอง

    5. เลี่ยงการทานอาหารที่ก่อให้เกิดสิว

    อาหารที่เราเลือกทานในแต่ละมื้อเองก็มีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะก่อให้เกิดสิวได้ โดยเฉพาะอาหารกลุ่มที่มีไขมันและน้ำตาลสูงอย่าง ขนมหวาน น้ำหวาน ของทอด ของมันเป็นต้น

    6. เลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดสิว

    ไม่ว่าจะเป็นความเครียด การพักผ่อนน้อย และการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ พฤติกรรมเหล่านี้มักเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดสิวได้ง่ายมากขึ้นกว่าปกติ นอกจากนั้นยังส่งผลทำให้เกิดปัญหาผิวเสื่อมโทรม ผิวแก่ก่อนวัยอีกด้วย

    แนะนำวิธีการรักษาสิวโดยแพทย์

    ต่อไปเรามาดูกันบ้างว่าการรักษาสิวโดยแพทย์นั้นหลัก ๆ จะมีวิธีไหนบ้าง เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ไม่มีเวลาในการรักษาสิวด้วยตนเอง ดังนี้

    1. ฉีดสิว

    เป็นวิธีที่ใช้สำหรับกรณีเกิดสิวอักเสบขึ้น ซึ่งตัวยาที่ใช้ฉีดจะเป็นสารสเตียรอยด์ที่จะมีส่วนช่วยในการลดอาการอักเสบของสิวจึงส่งผลทำให้สิวมีการยุบตัวลงอย่างรวดเร็วแต่ว่าวิธีนี้ไม่ได้ให้หัวสิวหายไปจึงทำให้มีโอกาสเกิดสิวซ้ำในอนาคตได้

    2. ทานยารักษาสิว

    หรือยากลุ่มปฏิชีวนะซึ่งจะเป็นตัวยาที่จะต้องทานภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น และจะมีการจ่ายยาให้ทานในกรณีที่สิวมีอาการที่รุนแรงจนไม่มีการตอบสนองต่อยาตัวอื่น ๆ ซึ่งตัวยาปฏิชีวนะนั้นจะเข้าไปช่วยลดอาการอักเสบของสิวและทำให้สิวยุบตัวได้แต่ก็มีข้อเสียอยู่คืออาจทำให้ผิวแห้ง ริมฝีปากแห้งได้นั่นเอง

    3. ใช้เลเซอร์รักษาสิว

    วิธีนี้จะเป็นการยิงส่งพลังงานเลเซอร์เข้าไปยังชั้นผิวในจุดที่มีสิวอยู่เพื่อทำให้ตัวเลเซอร์เข้าไปช่วยรักษาสิวได้นั่นเอง ซึ่งกลุ่มเลเซอร์ที่ถูกใช้รักษาสิวมีดังนี้

    • PDL หรือ Pulsed Dye Laser เด่นเรื่องลดอาการอักเสบและรักษารอยแดง
    • CO2 Laser เป็นเลเซอร์ช่วยเปิดหัวสิวได้จึงเหมาะอย่างมากสำหรับการรักษาพวกสิวอุดตันหรือสิวผด
    • Dual Yellow คือเลเซอร์แสงสีเหลืองและสีเขียว ที่มีส่วนช่วยในการทำลายแบคทีเรียและช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ดี

    4. ทายารักษาสิว

    ซึ่งวิธีนี้จะมีตัวยาทาสิวนั้นปัจจุบันมีทั้งหมดหลายกลุ่มด้วยกันขึ้นอยู่กับประเภทของสิว เช่น

    • สิวอักเสบ จะเหมาะกับยากลุ่มที่ช่วยลดอาการอักเสบของผิวอย่าง เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์, คลินดามัยซิน, อิริทโทรมัยซิน เป็นต้น
    • สิวอุดตัน จะเหมาะกับยากลุ่มที่ช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิวอย่าง วิตามินเอ เป็นต้น

    วิธีรักษารอยสิว หลังจากบีบสิว

    และแน่นอนว่าเมื่อหลังจากรักษาสิวเสร็จแล้ว หลาย ๆ คนก็อาจจะเกิดปัญหารอยสิว รอยแผลเป็นตามมาซึ่งเราก็ขอแนะนำวิธีการรักษารอยสิวที่เห็นผลได้ดี และเห็นผลได้ไวดังนี้

    1.ฉีดผิวรักษารอยสิว

    การฉีดผิวเพื่อรักษารอยสิวในปัจจุบันนั้นมีอยู่มากมายหลายยี่ห้อด้วยกัน ซึ่งแต่ละตัวนี้ก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

    • เมโสหน้าใส: ที่จะใช้การฉีดตัวยาที่อุดมไปด้วยสารต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยในการลดรอยดำ รอยแดงและปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงชุ่มชื้นขึ้นได้
    • มาเด้คอลลาเจน : เด่นในเรื่องของการรักษาสิว รักษาผื่น ช่วยปรับผิวให้แข็งแรงและชุ่มชื้นขึ้น ทั้งยังช่วยปรับผิวให้กระจ่างใสขึ้น ลดรอยแผลเป็นต่างๆ ให้สีผิวสม่ำเสมอกัน
    • Rejuran : ตัวนี้จะเด่นในเรื่องการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวเดิมที่เสื่อมโทรมให้กลับมาสุขภาพดีขึ้น และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวให้เพิ่มขึ้นจึงช่วยเพิ่มความกระชับของผิวและแก้ปัญหาหลุมสิวได้เป็นอย่างดี
    • Exosome : เป็นอีกหนึ่งตัวที่เด่นเรื่องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวให้เพิ่มขึ้น ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น ผิวมีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น ช่วยรักษาหลุมสิวและพวกรอยดำอย่าง รอยสิว ฝ้า กระ ได้เป็นอย่างดี
    • Sculptra : เป็นตัวช่วยในเรื่องของการยกกระชับผิว และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวให้เพิ่มมากขึ้น ปรับผิวให้อ่อนเยาว์และสุขภาพดียิ่งขึ้นจึงมีฉายาว่าการฉีดไหมน้ำนั่นเอง
    • Gouri : เป็นอีกหนึ่งตัวที่เด่นเรื่องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น จึงช่วยปรับผิวให้กระชับ ปรับรูขุมขนให้กระชับ ปรับโครงสร้างผิวให้แน่นสุขภาพดีและช่วยปรับผิวให้อ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
    • Belotero revive : จัดเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่จะเด่นในเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้น ปรับผิวให้มีความเรียบเนียน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำวาวสุขภาพดีมากยิ่งขึ้นและยังช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย

    2.เลเซอร์ลดรอยสิว

    เครื่องเลเซอร์รักษารอยสิว

    เป็นอีกหนึ่งหัตถการยอดนิยมสำหรับให้ช่วยลดรอยสิว รอยดำและรอยแดงที่เกิดขึ้นจากสิว ด้วยการใช้พลังงานแสงเลเซอร์เข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวให้เกิดการแตกตัวและสลายไปซึ่งกลุ่มเลเซอร์ที่ช่วยลดรอยสิวมีดังนี้

    • Pico Laser : เด่นเรื่องของการลดรอยดำ แก้ปัญหาหลุมสิวปรับผิวให้เรียบเนียน ซึ่งตัวนี้มีค่าพลังงานที่สูงกว่าเครื่องอื่น ๆ จึงเห็นไวได้ไวกว่าโดยสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งที่ทำแต่ก็มีราคาที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน
    • Q-Switch Laser : อีกหนึ่งตัวที่ช่วยลดรอยดำได้เป็นอย่างดี
    • IPL : เครื่องนี้ช่วยได้ทั้งรอยดำและรอยแดง แต่ด้วยความที่มีค่าพลังงานที่ต่ำจึงทำให้ต้องทำหลาย ๆ ครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์
    • Vbeam Laser : เครื่องนี้จะเด่นอย่างมากในการรักษาพวกรอยแดงหรือช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเส้นเลือด
    • Dual Yellow Laser : เครื่องนี้นอกจากจะช่วยลดรอยสิวได้ดีแล้วยังช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้อีกด้วยจึงถือเป็นเครื่องที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการรักษาสิวนั่นเอง

    อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลเซอร์รอยสิว: เลเซอร์รอยสิว ลดรอยดำ รอยแดง ได้จริงไหม? เลือกเครื่องแบบไหนดี? ทำกี่ครั้งหาย

    สรุป

    การบีบสิวนั้นถือเป็นทางเลือกในการรักษาสิวที่แพทย์หลายคนไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดผลเสียอย่างพวกรอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดงหรืออาการผิวช้ำหลังทำได้ง่ายแล้ว ยังเสี่ยงอันตรายถึงขึ้นติดเชื้อสมองและปอดได้อีกด้วย ดังนั้นหากใครที่มีปัญหาสิวแนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงจะดีมากกว่า สำหรับใครที่สนใจอยากปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาสิว สามารถติดต่อกับทางกังนัมคลินิกได้ทาง Line: @gangnamclinic

    แหล่งอ้างอิงข้อมูล

    clevelandclinic. Pimple Popping 101: How to (Safely) Zap Your Zits. March 15, 2022.
    https://health.clevelandclinic.org/pimple-popping-101-how-to-safely-zap-your-zits

    What to Know Before You Pop a Pimple. Medically Reviewed by Melinda Ratini, MS, DO on May 22, 2024Written by Shelley Levitt.
    https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/features/pop-a-zit

    How to Safely Pop a Pimple, If You Must.Medically reviewed by Cynthia Cobb, DNP, APRN, WHNP-BC, FAANP — Written by Kathryn Watson on February 22, 2019
    https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/how-to-pop-a-pimple

    By Angela Palmer Updated on August 29, 2024. Medically reviewed by Casey Gallagher, MD. Fact checked by Heather Mercer
    https://www.verywellhealth.com/is-it-ever-ok-to-pop-a-pimple-or-squeeze-a-blackhead-3996549

    เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง