รู้จักกับ สิวหิน สิวข้าวสาร คืออะไร ป้องกันและรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง?

สิวหิน จัดเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่มักเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย ซึ่งเป็ยประเภทสิวที่มีความแตกต่างกับสิวประเภทอื่น ๆ อย่างชัดเจนดังนั้นในบทความนี้หมอจะมาเจาะถึงเรื่องของสิวหินว่าคืออะไร เกิดขึ้นจากอะไรและมีวิธีไหนที่สามารถรักษาได้บ้าง
สิวหิน คืออะไร

สิวหิน (Syringoma) คือตุ่มเม็ดเล็กๆ แข็งสีขาวขุ่นหรือมีสีเหลือที่มักเกิดขึ้นตามร่างกายโดยเฉพาะใบหน้า ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเม็ดสิว แต่ในความจริงแล้วสิวหินไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสิวแต่อย่างใด แต่เป็นกลุ่มเนื้องอกจากต่อมท่อเหงื่อ ซึ่งไม่จะมีอาการเจ็บปวดหรือคันระคายเคืองผิวรวมถึงมีความอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่จะต้องใช้ระยะเวลานานหลายปีสิวหินถึงจะสามารถหายได้เอง ดังนั้นการเลือกรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์จะตอบโจทย์มากกว่า
สิวหินเกิดขึ้นจากอะไร

สาเหตุของการเกิดสิวหินนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุปัจจัยแต่ในทางการแพทย์ได้มีการระบุว่าไม่สามารถหาสาเหตุแบบแน่ชัดได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. เกิดจากพันธุกรรม
สิวหินเป็นอีกหนึ่งลักษณะทางผิวหนังที่มีการส่งต่อกันทางพันธุกรรมได้ ดังนั้นหากใครที่มีบุคคลที่มีภาวะเป็นสิวหินก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดสิวหันกับตัวเองได้เช่นกัน
2. เกิดจากความผิดปกติของผิวหนัง
สาเหตุนี้มักพบได้บ่อยเช่นกันโดยมักเกิดกับคนที่มักมีปัญหาผิวที่ก่อให้เกิดสิวหินได้ง่าย เช่น เป็นคนมีสภาพผิวมัน ผิวบอบบาง ผิวอุดตันได้ง่ายเป็นต้น
3. เกิดจากฮอร์โมน
ฮอร์โมนเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดสิวหินได้ง่ายมาก ๆ ซึ่งมักพบได้ในกลุ่มคนที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างหนักในร่างกาย เช่น สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือกลุ่มวัยรุ่นเป็นต้น
4. เกิดจากผลข้างเคียงจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางกลุ่มอาจส่งผลต่อการกระตุ้นการเกิดสิวหินได้ง่ายกว่าปกติ เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ หรือกลุ่มยาบางประเภท
5. เกิดจากการะคายเคืองผิว
เวลาที่ผิวเกิดการระคายเคืองจากการมีปัจจัยแวดล้อมมาเป็นตัวกระตุ้น เช่น ฝุ่น แสงแดด ความร้อน PM2.5 ก็อาจจะไปกระตุ้นร่างกายทำให้เกิดสิวหินเกิดขึ้นได้เช่นกัน
6. เกิดจากปัญหาทางสุขภาพ
ในปัจจุบันก็ได้มีโรคบางชนิดที่มีผลข้างเคียงในการกระตุ้นการเกิดสิวหินเกิดชึ้น เช่น โรคดาวน์ซินโดรม โรคเกี่ยวกับต่อไร้ท่อ หรือโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับความผอดปกติของต่อมเหงื่อเป็นต้น
สิวหินมีกี่ประเภท
สิวหินสามารถจำแยกออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทก็จะแยกกันตามลักษณะปัจจัยที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ดังนี้
1. สิวหินปฐมภูมิ
มีสาเหตุการเกิดมาจากเส้นใยเคราตินบริเวณใต้ผิวหนังที่เกิดการสะสมนวมกับต่อมไขมันเป็นระยะเวลานานจนทำให้เกิดเป็นเม็ดสิวหินเกิดขึ้น ซึ่งตำแหน่งที่มักพบบ่อยๆ ได้แก่ บริเวณหัวตา รอบพับจมูก หน้าผาก หรือที่ตำแหน่งอวัยวะเพศ สิวหินประเภทนี้ถือว่าเป็นประเภทที่สามารถหายไปได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ถึงหลายเดือน
2. สิวหินวัยหนุ่มสาว
สาเหตุของการเกิดสิวประเภทนี้นั้นโดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดขึ้นจากอาการเจ็บป่วยหรือโรคภัยต่างๆ เช่น โรคมะเร็งผิวหนัง หรือเกิดขึ้นจากความผิดปกติของพันธุกรรมเป็นต้น
3. สิวหินชนิดแบนราบ
เป็นประเภทที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยแต่จะพบมากที่สุดในกลุ่มหญิงวัยกลางคน โดยมีสาเหตุการเกิดมาจากการติดเชื้อที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคผิวหนังบางโรคที่เกิดการลุกลามจนกลายเป็นปื้นที่ผิวหนัง ซึ่งบริเวณที่มักพบได้แก่ บริเวณตา หลังหู หน้าแก้มและกรามเป็นต้น
4. สิวหินชนิดบาดแผล
สิวหินประเภทนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายได้รับบาดแผลหรือมีอาการบาดเจ็บจากการอักเสบของผิวหนัง แผลพุพอง ผื่น แผลไฟไหม้ จนทำให้รูขุมขนและต่อมไขมันในบริเวณที่เกิดบาดแผลถูกรบกวนจนเป็นสาเหตุกระตุ้นทำให้เกิดสิวขึ้นนั่นเอง ซึ่งมักพบบ่อยได้ในบริเวณนิ้วมือและหลังมือ
สิวหินกับสิวข้าวสารคืออันเดียวกันไหม?
หลายคนอาจเกิดความสับสนขึ้นว่าระหว่างสิวหินและสิวเม็ดข้าวสารนั้นคืออันเดียวกันไหม ซึ่งคำตอบก็คือคนละอันกัน แต่ทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันที่ทั้งคู่ไม่ได้ถูกจัดให้กลุ่มเป็นสิวนั่นเอง ซึ่งความแตกต่างของทั้งสิวหินและสิวข้าวสารคือดังนี้
สิวหิน (Syringoma)
เป็นเนื้องอกจากต่อมเหงื่อ มักเกิดขึ้นจากอายุที่มากขึ้นและการส่งต่อทางพันธุกรรม มีลักษณะเป็นตุ่มแข็งนูนขึ้นมาบนผิวชั้นนอก โดยจะมีหัวสิวขนาดเล็กสีขาวขุ่นหรือสีเหลืองอยู่ภายในตุ่ม มักเป็นสิวที่จะไม่มีอาการคันหรือเจ็บผิวเกิดขึ้น และตำแหน่งที่มักพบได้บ่อย ๆ จะเป็นบริเวณรอบดวงตา
สิวเม็ดข้าวสาร (Milia)
เป็นกลุ่มซีสต์ของไขมันใต้ผิวหนังที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของต่อมเหงื่อ มักมีสาเหตุการเกิดมาจากการถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก เช่น การเสียดสีของผิว หรือเกิดขึ้นหลังจากมีบาดแผลทางผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวขนาดเล็ก คล้ายคลึงกับลักษณะของสิวหิน แต่มักพบได้ในบริเวณใต้ตา จมูก และส่วนโหนกแก้มเป็นต้น
สิวหินมักเกิดขึ้นบริเวณไหน

- สิวหินหัวตา
- สิวหินจมูก
- สิวหินที่หน้าผาก
- สิวหินที่แก้ม
- สิวหินที่กราม
- สิวหินที่มือ
- สิวหินที่หลังหู
- สิวหันที่อวัยวะเพศ
สิวหินรักษาแบบไหนได้บ้าง
มาถึงกันที่วิธีรักษาสิวหินกันบ้างว่าในปัจจุบันนี้จะมีวิธีไหนบ้างที่สามารถรักษาสิวหินได้บ้าง ซึ่งเราก็มีแนะนำทั้งวิธีทางการแพทย์และการดูแลตัวเองมาฝากกัน
1. กดสิว

วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเนื่องจากเป็นการกำจัดสิวหินได้อย่างรวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้แพงมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ แต่ก็มีข้อเสียคือไม่ควรทำเองอย่างเด็ดขาดโดยควรรับบริการกับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากหากใช้น้ำหนักในการกดที่แรงเกินไปอาจทำให้ผิวช้ำจนเกิดเป็นรอยดำขึ้นได้ และนอกจากนั้นหลังกดสิวภายใน 24 ชั่วโมงแรกควรเว้นการแต่งหน้าและไม่ควรสัมผัสหน้าบ่อยๆ เพื่อลดการติดเชื้อแบคทีเรียจากสิ่งสกปรกในเครื่องสำอางเป็นต้น
- ข้อดี : สามารถเห็นได้ทันทีหลังทำ มีราคาที่ถูก
- ข้อเสีย : อาจเกิดแผลเป็นขึ้นได้หลังทำ และไม่สามารถการันตีได้ว่าจะไม่เกิดสิวหินซ้ำอีก
2. เลเซอร์สิวหิน

วิธีนี้จริงๆ แล้วจะมีความคล้ายคลึงกับการกดสิว เพียงแต่จะต่างกันที่อุปกรณ์โดยการกดสิวจะใช้เข็มในการเปิดรูสิวและกดออก แต่วิธีนี้จะใช้แสงเลเซอร์ในการยิงเพื่อเปิดรูสิวหิน และทำการกดเอาหัวสิวออกมาซึ่งจะทำให้สามารถกดเอาหัวสิวออกมาได้ง่ายกว่า ลดโอกาสการเกิดผิวช้ำจนเป็นรอยแผลเป็น แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่า
- ข้อดี : สามารถกดเอาหัวสิวหินออกมาได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดโอกาสเป็นรอยแผลเป็นได้น้อย
- ข้อเสีย : มีค่าใช้จ่ายที่สูง เนื่องจากจะต้องทำในคลินิกความงามที่มีหมอผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำให้เท่านั้น
3. การใช้ความเย็น
วิธีนี้จะใช้ความเย็นจากไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) ในการจี้ตัวเม็ดสิวที่นูนขึ้นให้หลุดออกไปอย่างง่ายดายซึ่งวิธีนี้จะต้องทำโดยหมอที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สูงเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงเช่นการโดนความเย็นกัดผิวหรือเกิดแผลไฟไหม้นั่นเอง
- ข้อดี : เห็นผลได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลได้ทันทีหลังทำ
- ข้อเสีย : มีค่าใช้จ่ายที่สูงและต้องทำกับหมอที่มีความเชี่ยวชาญสูงเท่านั้น
4. การใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า

การใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า (Electrocautery) เป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพพอๆ กับการเลเซอร์ซึ่งวิธีจะมีการใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าที่มีหัวขนาดเล็กในการจี้เพื่อยังเม็ดสิวเพื่อเอาหัวสิวออก ซึ่งจะทำให้สามารถกดเอาหัวสิวออกมาได้ง่ายกว่าการกดสิวแบบปกติ
- ข้อดี : เห็นได้ทันทีหลังทำและช่วยลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็น รอยช้ำ จากการกดเอาหัวสิวออกได้
- ข้อเสีย : มีราคาที่สูงกว่าการกดสิวทั่วไปค่อนข้างมาก และจะต้องทำกับหมอที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น
5. ปูนแดง
วิธีถือเป็นวิธีแบบดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่รุ่นย่า รุ่นยาย ซึ่งวิธีนี้จะใช้ตัวปูนที่มีฤทธิ์ในการช่วยกัดกร่อนผิวมาละลายในน้ำและนำไปแต้มที่บริเวณเม็ดสิวซึ่งจะต้องทำอย่างน้อย 2-3 ครั้งสิวหินจึงค่อยๆ แห้งและหลุดออกไปในที่สุด
- ข้อดี : ประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำและเหมาะกับคนที่ต้องการรักษาสิวหินด้วยตนเองที่บ้าน
- ข้อเสีย : เนื่องจากตัวปูนแดงมีฤทธิ์ที่ค่อนข้างแรงเลยอาจทำให้ผิวเกิดการอักเสบและเป็นแผลระคายเคืองขึ้นได้
6. ปรับการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
แน่นอนว่าสาเหตุหลักๆ ของการเกิดสิวหินคือการอุดตันและสะสมของแบคทีเรีย, ไขมันต่างๆ ในชั้นผิว ดังนั้นการปรับมาใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่มีสารช่วยการผลัดเซลล์ผิวก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาสิวหิน ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมักจะมีส่วนผสมของ AHA BHA Retinol หรือกรดซาลิคไซลิกเป็นต้น
- ข้อดี : เป็นวิธีที่สามารถทำได้เองง่ายๆ ที่บ้าน เหมาะกับคนที่ไม่อยากเข้ารับการรักษาสิวหินที่คลินิก และสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีราคาตามที่ต้องการได้
- ข้อเสีย : ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผล และต้องทำการศึกษาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ให้ดีว่าสารตัวไหนควรใช้และควรเลี่ยงในการใช้คู่กับสารตัวไหน เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว
7. ทายารักษาสิวหิน
การทายาก็ถือเป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากมายซึ่งจะเป็นการใช้ยากลุ่มอาซิเทรติน (Acitretin)
กรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic acid) และไอโซเทรติโนอิน (Isotretinoin) ที่เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการเร่งการผลัดเซลล์ผิว แต่วิธีนี้จะต้องเป็นการรักษาที่อยู่ภายใต้การดูแลของหมอผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- ข้อดี : สามารถรับยามาทำการรักษาเองที่บ้านได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปพบหมอบ่อยๆ
- ข้อเสีย : ในระหว่างการรักษาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์ที่แรงส่งผลทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ง่ายกว่าปกติมากๆ
8. ปรับพฤติกรรมการทานอาหาร

การทานอาหารถือเป็นวิธีในการช่วยแก้ปัญหาได้ถึงต้นตอ ซึ่งจะเป็นการเน้นทานอาหารพวกผัก ผลไม้สด และกลุ่มเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ และควรเลี่ยงอาหารกลุ่มของทอด ของมันและของหวานที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้นั่นเอง
- ข้อดี : เป็นวิธีที่ดูแลตัวเองได้อย่างง่ายๆ และถือเป็นวิธีการป้องกันและดูแลสุขภาพร่างกายได้ดีที่สุด
- ข้อเสีย : ใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผล และไม่สามารถรักษาสิวหินในกรณีที่เกิดจากโรคทางสุขภาพหรือความบกพร่องทางพันธุกรรมได้
สิวหินสามารถหายเองได้ไหม
สิวหินสามารถหายไปได้เอง แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานมากๆ หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับลักษณะของเม็ดสิวว่าอยู่ในชั้นผิวที่ตื้นลึกแค่ไหน
สิวหินปล่อยที่ไว้จะเป็นอันตรายไหม
การเป็นสิวหินนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องความอันตรายใดๆ เลยเนื่องจากถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรคผิวที่ไม่จำเป็นจะต้องทำการรักษา ถึงจะปล่อยทิ้งไว้โดยไม่กดออกก็ไม่ได้มีความอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย แต่คนส่วนใหญ่มักเลือกที่กำจัดออกเพื่อความสวยงามนั่นเอง
วิธีการดูแลป้องกันไม่ให้เกิดสิวหิน
อีกหนึ่งวิธีสำคัญในการป้องกันการเกิดสิวหินนั้นก็คือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและวิธีการดูแลผิวเพื่อลดโอกาสเกิดสิวหิน ซึ่งจะมีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ลดการแต่งหน้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการอุดตันของผิวได้ง่ายมากกว่าเดิม และนอกจากนั้นในเครื่องสำอางบางประเภทยังมีตัวสารที่ตัวกระตุ้นการเกิดสิวหินได้อีกด้วย
- การใส่ใจเรื่องการทำความสะอาดผิว โดยเฉพาะส่วนใบหน้าที่ควรจะต้องมีการใส่ใจเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษด้วยการเช็ดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกด้วยตัวคลีนซิ่ง (Cleansing) เช่น คลีนซิ่งออยล์ หรือกลุ่มไมเซล่า วอเตอร์ร่วมกับการใช้คลีนเซอร์อย่าง โฟมหรือเจลล้างหน้าเพื่อช่วยกำจัดสิ่งสกปรกบนผิว และควรใช้สูตรที่เหมาะกับสภาพผิวบอบบางผิวแพ้ง่าย
- การบำรุงผิวเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเซรั่ม ครีมหรือมาส์กหน้าต่าง ๆ เพื่อช่วยปรับสมดุลให้ผิวและยังช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้มีความแข็งแรง ลดอาการระคายเคืองผิว
- การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มช่วยผลัดเซลล์ผิว วิธีนี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวหินร่วมกับยังช่วยลดการเกิดสิวประเภทอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งกลุ่มสารที่พบในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ยอดนิยมคือ AHA และ BHA เป็นต้น ซึ่งแนะนำให้ใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว
สรุป
สิวหินมีลักษณะเป็นตุ่มเม็ดเล็กๆ สีขาวเมื่อสัมผัสจะรู้สึกถึงความแข็งและมีหัวมีขาวหรือสีเหลืองอยู่ภายใน ซึ่งความจริงแล้วสิวหินนั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มกลุ่มเนื้องอกจากต่อมท่อเหงื่อที่มีการอุดตัน โดยสาเหตุการเกิดนั้นยังไม่มีความแน่ชัดมาก และสามารถรักษาได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการกดสิว การเลเซอร์สิว การใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าหรือแม้แต่การทายารักษาสิวหินก็ได้เช่นกัน