รวมวิธี ลดริ้วรอยใต้ตา ที่เห็นผลไวและปลอดภัย
ถ้าพูดถึงปัญหาริ้วรอยใต้ตา กับวิธีแก้ไขที่ได้ผลไวและปลอดภัย แน่นอนว่าจะต้องทราบถึงประเภทของริ้วรอยบนใบหน้าที่ตนเองเป็นอยู่ ว่ามีลักษณะอย่างไร เกิดจากอะไร เพื่อนำไปสู่วิธีแก้ไขที่เหมาะสมที่สุด ถึงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีและไวที่สุด ซึ่งบทความนี้มีคำตอบอย่างละเอียดชัด อ่านจบแล้วแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและชัดเจนโดยไวแน่นอน
ริ้วรอยใต้ตา มีลักษณะประเภทอย่างไรบ้าง?
มาทำความรู้จักริ้วรอยใต้ตาอย่างละเอียดกันก่อนดีกว่า เพราะแท้จริงแล้วริ้วรอยใต้ตา หรือริ้วรอยที่เกิดบริเวณดวงตามีแบบไหนบ้าง
ริ้วรอยหางตา หรือตีนกา
รอยตีนกา เป็นรอยขีด 3 ขีดขึ้นไปบริเวณหางตา ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนตอนยิ้ม ตอนอ้าปากหาว ตอนขมวดคิ้ว มักเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและหญิง ตั้งแต่อายุ 30 ปี เป็นต้นไป บริเวณที่มักพบคือช่วงบริเวณหางตา
ริ้วรอยใต้ตา รอยเหี่ยวย่นใต้ตา
ริ้วรอยใต้ตา หรือรอยเหี่ยวย่นใต้ตา มักจะมาพร้อมๆ กับถุงใต้ตาบวมนูนเกิดเป็นผิวหย่อนคล้อย ซึ่งทำให้ใบหน้าดูโทรม ดูไม่สดใส เป็นปัญหาที่เกิดจากผิวเสื่อมสภาพตามอายุ นั่นก็หมายความว่ามักพบได้ในผู้ที่อายุ 40 ปี เป็นต้นไป
ขอบตาล่างดำคล้ำ
ขอบตาล่างดำคล้ำ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่นำไปสู่การเกิดริ้วรอยใต้ตาได้ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น นอนดึก การเจอแสงแดดแรงๆ บ่อยๆ การขยี้ตา หรืออาจเป็นโรคบางชนิด เช่นภูมิแพ้ที่มักจะทำให้ขอบตาล่างคล้ำ
ริ้วรอยใต้ตา เกิดจากอะไร?
ปัญหาริ้วรอยใต้ตา เป็นปัญหาที่รบกวนความสวยงามบนใบหน้าทั้งของผู้หญิง และของผู้ช้าย ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตาดังนี้
- อายุที่มากขึ้น
ส่งผลทำให้ผิวส่วนใต้ตาเกิดการยุบตัว โดยเฉพาะส่วนกระดูกใต้ตา เนื้อเยื่อและไขมันใต้ตา ทำให้เกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึกบริเวณใต้ตาได้ - การเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอีลาสติน
เมื่อคอลลาเจนอละอีลาสตินในชั้นผิวเกิดการเสื่อมโทรมลงส่งผลทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นจนนำไปสู่ปัญหาริ้วรอยได้ ซึ่งสาเหตุนี้มักเกิดได้ทั้งกับกลุ่มคนที่อายุเยอะ หรือคนที่มีพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว - แสงแดด
ในแสงแดด มีรังสี UV ที่แรงกว่าจะให้ประโยชน์ต่อผิว โดยเฉพาะแสงตอนกลางวัน ซึ่งรังสี UV จะทำลายเส้นใยในผิวหนังหรืออีลาสติน (Elastin) ทำให้ผิวเริ่มแห้งกร้าน เกิดริ้วรอย หย่อนยาน และแน่นอนว่าในผู้ที่ไม่ค่อยทาครีมกันแดด หรือสวมแว่นกันแดด ก็จะมีปัญหาริ้วรอยใต้ตาที่ต้องเข้ารับการแก้ไขในที่สุด - พฤติกรรม
การใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละวัน ในบางพฤติกรรมก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตาโดยที่เราไม่รู้ตัวได้ เช่น การขยี้ตา การเอามือถูตาบ่อยๆ - ผิวที่แห้ง
ผิวแห้ง คือผิวที่เซลล์ชั้นใต้ผิวหนังใต้ตาขาดความชุ่มชื้น เพราะบริเวณรอบดวงตามีไขมันน้อยกว่าส่วนอื่น ดังนั้นจึงเกิดริ้วรอยจากการที่ผิวแห้งกร้านได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่ดื่มน้ำน้อย และโดนแสงแดดเป็นประจำ
ปัญหาริ้วรอยใต้ตาคนอายุน้อยและวัยรุ่น ต่างกันไหม?
ริ้วรอยใต้ดวงตา ของคนอายุน้อย หรือวัยรุ่น มักเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน มากที่สุด เพราะถึงจะมีข้อได้เปรียบในเรื่องของสภาพเซลล์ผิวหนังที่ยังแข็งแรง ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากแต่สร้างสิ่งรบเร้า หรือกระตุ้นให้ผิวทำงานหนักก็จะส่งผลให้เกิดริ้วรอยใต้ตาได้เช่นกัน ซึ่งมาจาก การนอนดึก การขยี้ตา การไม่ป้องกันผิวรอบดวงตาจากแสงแดด หรือมลภาวะต่างๆ แต่ข้อดีคือยิ่งอายุน้อยมากเท่าไหร่โอกาสในการรักษาก็ย่อมง่ายกว่ามากๆ เพราะยังเป็นช่วงที่ร่างกายยังสามารถสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินมาฟื้นฟูได้ดี
วิธีลดริ้วรอยใต้ตา แบบธรรมชาติ
เป็นด่านแรกของผู้ที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอยใต้ตา ที่สามารถเลือกทำได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ทำได้ทุกวัน หรือจะเริ่มทำตั้งแต่ยังไม่มีริ้วรอยใต้ตา ทำตั้งแต่อายุยังไม่เยอะ เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยใต้ตาอันมาถึงแน่ๆ ในอนาคต หรือในตอนที่อายุเยอะขึ้น
วิธีที่ 1 นวดบริเวณรอบดวงตา
การนวดบริเวณรอบดวงตา เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดทั่วทั้งบริเวณดวงตาให้ค่อยๆ กลับมาทำงานอย่างสมดุล ผิวที่มีรอยพับ รอยย่นจะค่อยๆคลายตัว อีกทั้งกล้ามเนื้อที่อ่อนล้าก็กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับการนวดจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบาง จึงควรใช้นิ้วมือนวด มากกว่าอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งทำได้โดยการหลับตาทั้งสองข้าง แล้วใช้นิ้วชี้วางเหนือหัวคิ้วแต่ละข้าง จากน้ันค่อย ๆ กดนวดเบา ๆ เริ่มตั้งแต่คิ้วไล่ไปบริเวณรอบ ๆ ดวงตา
เหมาะกับใครบ้าง?
ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเพียงเล็กน้อยหรือยังไม่มีนิ้งรอย แต่ต้องการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอย
วิธีที่ 2 ดื่มน้ำลดริ้วรอย
น้ำเป็นตัวช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งแน่นอนว่าจะเข้าไปลดความแห้งกร้านของเซลล์ผิวรอบดวงตาได้เป็นอย่างดี ป้องกันและลดปัญหาริ้วรอยใต้ตาได้ หากดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน ซึ่งก็จะเท่ากับน้ำในปริมาณ 2 ลิตรต่อวันนั่นเอง
เหมาะกับใครบ้าง?
เหมาะกับคนที่มีอายุน้อยอย่างวัย 20 ปี ที่ยังไม่พบปัญหาริ้วรอยที่มากนัก
วิธีที่ 3 ทาอายครีมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตา
การทาครีมบำรุงเช่น อายครีม หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตา ก็ช่วยป้องกันและชะลอการเกิดริ้วรอยใต้ตาได้ดี เพราะมอบความชุ่มชื้นและสารสกัดอันเป็นประโยชน์ต่อผิวที่บอบบางรอบดวงตา แต่วิธีนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยใต้ตาได้อย่างชัดเจน
แนะนำทริคการทาอายครีมให้เห็นผลไว
- ในการทาอายครีมแต่ครั้งควรใช้ปริมาณขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว
- หลังจากล้างหน้าเสร็จควรทาอายครีมเป็นสเต็ปแรก หลังจากที่ลงน้ำตบหรือเอสเซ้นบำรุงผิวที่มีเนื้อเหลว จากนั้นจึงค่อยลงผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเจลหรือเนื้อครีมข้นลง
- อายครีมควรทาเป็นประจำทุกเช้า-เย็น
- ควรเลือกอายครีมที่มีส่วนผสมในการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นเช่น HA เป็นต้น
- ในการทาอายครีมควรใช้ปลายนิ้วนางในการเกลี่ยและควรเกลี่ยด้วยน้ำหนักที่เบามือ
เหมาะกับใครบ้าง?
เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเพียงเล็กน้อย และเป็นริ้วรอยแบบตื้นๆ ที่สามารถรักษาได้ง่าย หรือผู้ที่อายุต่ำกว่า 25 ปีจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ดีมากที่สุด
วิธีที่ 4 มาส์กหน้า/มาร์กรอบดวงตา
มาส์กหน้า หรือมาร์กเฉพาะจุดรอบดวงตา ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดริ้วรอยใต้ตา และชะลอการเกิดริ้วรอยได้ดี โดยเลือกใช้แผ่นมาร์กที่มีสรรพคุณดูแลผิวบอบบางรอบดวงตาจะดีที่สุด
ซึ่งระยะเวลาในการแปะแผ่นมาร์กควรแปะแค่ 10-20 นาที ก่อนนอนแล้วจึงค่อยๆ แกะออก ไม่ควรหลับไปทั้งแผ่นมาร์กแปะที่ผิวรอบดวงตา เพราะเมื่อแผ่นมาร์กแห้งจะทำการดึงเอาความชุ่มชื้นจากผิวออกไป
เหมาะกับใครบ้าง?
ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเพียงเล็กน้อย หรือมีปัญหาริ้วรอยที่ไม่ได้เกิดจากอายุที่มากขึ้น
วิธีที่ 5 ประคบริ้วรอยใต้ตาด้วยผลไม้
ในกรณีผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยใต้ตา ริ้วรอยตีนกา ขอบตาล่างคล้ำ อันเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันสามารถแก้ไข และบรรเทาได้โดยใช้ผักและผลไม้ประคบไว้ทุกคืนก่อนนอน ซึ่งต้องเป็นผลไม้ที่มอบความชุ่มชื้นให้กับผิวรอบดวงตาได้ มีดังนี้
- มะเขือเทศ
สำหรับใครที่มีปัญหาถุงใต้ตาบวมและคล้ำร่วมด้วย มะเขือเทศที่มีสารธรรมชาติมองความชุ่มชื้น และคืนความผ่องใสให้กับผิว ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีในการนำมาประคบไว้ที่บริเวณรอบดวงตา โดยการหั่นแว่นบางๆ แล้วนำมาวางไว้บริเวณผิวหนังตาทั้ง 2 ข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วจึงนำออกแล้วไปล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำจะค่อยๆ ทำให้ริ้วรอยใต้ตาค่อยๆ จางลง - แตงกวา
แตงกวาเป็นผักที่ขึ้นชื่อเรื่องการมอบความชุ่มชื้นให้กับผิว เพราะในแตงกวาอุดมไปด้วยมอยส์เจอไรเซอร์จากธรรมชาติ ฉะนั้นแล้วเหมาะมาก สำหรับผู้ที่มีริ้งรอยใต้ตาบวม ริ้วรอยรอบดวงตาอันเกิดจากผิวแห้งกร้าน และขอบตาล่างที่หมองคล้ำ
เหมาะกับใครบ้าง?
ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวใต้ตาแบบไม่พึ่งสารเคมี และผู้ที่มีปัญหาใต้ตาที่น้อยมากๆ เช่น พึ่งจะเริ่มเกิดริ้วรอย ริ้วรอยมีขนาดที่ตื้นมากๆ เป็นต้น
วิธีที่ 6 โบท็อกลดริ้วรอยใต้ตา
การโบท็อกเพื่อลดริ้วรอยใต้ตา เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถลดริ้วรอยใต้ตา ไปจนถึงรอยตีนกา หรือรอยย่นใต้ตาได้ดี
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- เห็นผลเร็วและราคาไม่แพง
- ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถเดินทางกลับบ้านหรือไปทำธุระได้ทันที
- ไม่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตาได้อย่างถาวร เนื่องจากมีระยะเวลาแสดงผลลัพธ์ได้แค่ 3 – 6 เดือน
- จะต้องเข้ามาฉีดโบท็อกซ้ำ หากครบระยะการแสดงผลลัพธ์
เหมาะกับใครบ้าง?
เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยใต้ตา อันเนื่องมาจากการยิ้ม หรือรอยย่นที่เกิดจากการขยับบ่อยๆ บริเวณรอบดวงตา
เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ไว เพราะหลังฉีดจะเห็นผลใน 5-7 วัน ซึ่งเร็วกว่าการทาครีม หรือมาร์กผิวรอบดวงตา
ราคาและค่าใช้จ่าย : ค่าบริการเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 บาทเป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกและปริมาณยูนิต
วิธีที่ 7 ยกกระชับรอบดวงตา Ultraformer III
การรักษาริ้วรอยใต้ตาแบบให้ผลลัพธ์ไวและปลอดภัยสูง ต้องยกให้การใช้เครื่องยกกระชับผิวอย่างคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง (High Intensity Focused Ultrasound Macrofocus) ยิงเข้าใต้ชั้นผิวหนังบริเวณขอบตาล่าง ทำให้ผิวที่เกิดริ้วรอย ร่องขีดใต้ตา หดตัวเข้าหากันและค่อยๆ กระชับเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งตัวเครื่องที่ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ที่ได้รับความนิยมมากๆ ได้แก่ Ultraformer III, Hifu และ Ulthera เป็นต้น
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- สามารถแต่งหน้าและทำกิจกรรมได้ตามปกติทันทีภายหลังการรักษา
- มีความปลอดภัยสูง ไม่ทำให้เกิดบาดแผล
- ไม่ต้องพักฟื้น หลังเข้ารับบริการสามารถเดินทางกลับบ้านหรือไปทำธุระได้ทันที
- อาจจะมีผิวแดงขึ้นเล็กน้อย และจะหายได้เองปกติภายใน 1-2 ชั่วโมง
- ระหว่างทำจะให้ความรู้สึกเจ็บ เหมือนมีหนามเล็กๆ แทงลงบนผิวลึกๆ
- ไม่สามารถคงผลลัพธ์ได้ถาวร จะอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน แนะนำให้ทำซ้ำปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อยืดระยะผลลัพธ์ให้นานยิ่งขึ้น
เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตามากที่สุด
- เหมาะกับแก้ปัญหาใต้ตาหย่อนยาน หรือเริ่มย้วยจากอายุที่เยอะขึ้น
ราคาและค่าใช้จ่าย : เฉลี่ยอยู่ที่ 3,900 – 20,000 บาทเป็นต้นไปขึ้นอยู่กับจำนวนชอตหรือเครื่องที่ใช้
วิธีที่ 8 ฉีดฟิลเลอร์ลดริ้วรอยใต้ตา
เป็นวิธีการเติมสาร ไฮยาลูรอนิค แอซิด เข้าไปในบริเวณใต้ตาที่มีปัญหาริ้วรอย อันเกิดจากอายุที่มากขึ้น การหดตัว ยุบตัวของกระดูกรอบดวงตา ก็ทำให้ผิวรอบดวงตาเกิดริ้วรอย หย่อนคล้อย โดยหลังฉีดฟิลเลอร์จะให้ผลลัพธ์เติมเต็มผิวรอบดวงตาให้สมบูรณ์ไร้ริ้วรอย และสมส่วนดูเป็นธรรมชาติ และหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเห็นได้ชัด
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- ไม่มีแผล เพราะไม่ใช่การผ่าตัด
- ไม่ต้องพักฟื้น หลังเข้ารับบริการสามารถเดินทางกลับบ้านหรือไปทำธุระได้ทันที
- ไม่เจ็บตัวมากเท่ากับการผ่าตัด
- เสี่ยงอักเสบ ติดเชื้อ หากเข้ารับบริการจากคลินิกที่เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
- เสี่ยงมีผลเสียต่อดวงตา หากเข้ารับบริการจากคลินิกที่เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
- ไม่สามารถคงผลลัพธ์ได้ถาวร อยู่ได้นาน 8 เดือนถึง 1 ปี
เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะกับการแก้ปัญหาผิวหนังใต้ตายุบตัวจากอายุที่มากขึ้น
- เหมาะกับการแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา
- เหมาะกับการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยใต้ตา
- เหมาะกับการแก้ปัญหาร่องลึกใต้ตา
ราคาและค่าใช้จ่าย : เฉลี่ยอยู่ที่ 13,000 – 18,000 บาท ต่อ 1 CC หรือแล้วแต่ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาตาลึก เติมเต็มใต้ตาดำคล้ำ ให้ปลอดภัยไม่ตกค้าง
วิธีที่ 9 ร้อยไหมยกกระชับริ้วรอยใต้ตา
การร้อยไหมเพื่อลดริ้วรอยใต้ตา จะใช้ไหมเข้าไปช่วยยกกระชับผิวหน้าที่มีริ้วรอย เกิดความหย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึง เรียบเนียน และคืนรูปทรงใบหน้าให้มีกรอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีเทคนิคคือ ใช้เข็มนำเส้นไหมละลาย สอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อไปยกชั้นผิวที่มีริ้วรอยหย่อนคล้อย ให้ตึงขึ้นมาระนาบเรียบตามผิวหน้าแต่ละส่วนในแบบที่เป็นธรรมชาติ ทำให้ใบหน้าเกิดความยกกระชับขึ้นทันทีหลังทำ
ซึ่งที่กังนัมคลินิกเรามีบริการร้อยไหมฟิลเลอร์ด้วยไหม Volume ที่จะทำหน้าที่ทั้งการเป็นไหมยกกระชับและช่วยเต็มเติมผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวคล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์ ในราคาเริ่มต้นเข็มละ 1,999 บาท
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- ผิวรอบดวงตาสดใสมากยิ่งขึ้น เพราะไหมจะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้คอลลาเจนใต้ผิวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกกระชับผิวให้เต่งตึงขึ้นในทันที
- ผิวดูสุขภาพดีมีเลือดฝาดหรือผ่องใสมากขึ้น เพราะยไหม จะช่วยกระตุ้นเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ให้ไหลเวียนดีขึ้น
- เห็นผลลัพธ์หลังทำเสร็จทันที ดังนั้นจึงให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันใจ
- อาจทำให้ใบหน้ามีรอยคลื่น หรือผิวยับ หากทำโดยแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ เลือกไหมผิด หรือสอดเข้าชั้นผิวตื้นหรือลึกเกินไป
- มีอาการระบมหลังเข้ารับบริการ แต่จะค่อย ๆ หายเป็นปกติภายใน 1 – 2 สัปดาห์
- เสี่ยงติดเชื้อ อักเสบ อันเกิดจากอุปกรณ์แพทย์ไม่สะอาด และดูแลตัวเองหลังร้อยไหมไม่ดีพอ
เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะกับผู้ที่มีอายุยังไม่เยอะ (Younger Skin) แต่มีริ้วรอยใต้ตาที่เกิดขึ้นเพราะการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นการนอนดึก ดื่มน้ำน้อย ขยี้ตาบ่อย
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาร่องแก้มหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน
- เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณขมับ
- เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็กๆ บริเวณมุมปาก
ราคาและค่าใช้จ่าย : ลดริ้วรอยใต้ตา ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 บาทขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับชนิดของไหม และจำนวนเส้นไหมที่ต้องใช้
วิธีที่ 10 ผ่าตัดศัลยกรรมลดริ้วรอยใต้ตา
การผ่าตัดศัลยกรรมผิวหนังริ้วรอยใต้ตา เป็นอีกหนึ่งการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากที่สุด แถมให้ผลลัพธ์ที่ถาวร โดยกรรมวิธีการผ่าตัดคือ การใช้มีดผ่าเอาผิวหนังส่วนเกินที่หย่อนยาน ผิวที่มีริ้วรอยเยอะๆ บริเวณใต้ตาออกไป
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- กำจัดริ้วรอยใต้ตาได้อย่างถาวร ทำครั้งเดียวจบ
- ทำให้หน้าดูเด็กลง เพราะใแพทย์จะทำการตัดแต่งให้ผิวกลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ราวกับย้อนวัยผิว
- ช่วยเรื่องมิติของผิวรอบดวงตา ทำให้ดูสดใส ไม่โทรม
- หากผู้เข้ารับบริการแพ้ยาสลบแบบรุนแรง อาจไม่เหมาะกับวิธีนี้เพราะการผ่าตัด จำเป็นต้องใช้ยาสลบ
- หลับตาได้ไม่สนิท หากแพทย์ไม่เชี่ยวชาญมากพอในการประเมินการผ่าและตัดผิวหนังออกไปมากจนเกินพอดี ก็อาจทำให้ เปลือกตาล่างแบะออก และการหลับตาไม่สนิทได้
- เกิดร่องลึกใต้ตา หากแพทย์ทำการผ่าตัดไม่เหมาะสม หรือไม่เชี่ยวชาญพอ
เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะกับการแก้ปัญหา ผู้ที่มีริ้วรอยใต้ตาพร้อมๆ กับมีถุงใต้ตาที่นูน และผิวหนังส่วนเกินที่มีความหย่อนคล้อย ช่วยให้หน้าดูเด็ก อ่อนเยาว์ จากการตัดแต่งผิวหนังถุงใต้ตาให้เรียบ ปราศจากรอยย่น ผู้ที่มีอายุเยอะ ก็เหมือนได้ย้อนวัยอีกครั้ง
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาดำคล้ำ แพทย์จะตัดแต่งให้ดูเรียบเนียนและจัดระเบียบผิวหนังใหม่
ราคาและค่าใช้จ่าย : เฉลี่ยเริ่มต้นอยู่ที่ 17,500 – 50,000 บาท แล้วแต่สถานที่ คลินิก/โรงพยาบาล ที่ให้บริการ
วิธีที่ 11 คลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF)
ใช้เทคนิคปล่อยคลื่นไฟฟ้าอ่อนๆ ในรูปแบบของคลื่นวิทยุที่มีความถี่ปลอดภัยต่อผิวหนัง และได้ผ่านการรับรองความปลอดภัยระดับสากลอย่างองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) นั่นก็คือช่วงความถี่ 0.3-0.5 MHz (เมกะเฮริตซ์) ส่งลงไปผ่านแท่งโลหะ ที่จะไปทำให้ชั้นผิวหนังมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น กระตุ้นการทำงานของเลือด ไขมัน บริเวณรอบดวงตา ทำงานให้ดีขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวยืดหยุ่น และกระชับริ้วรอยใต้ตาให้ค่อยๆจาง และเรียบเนียน เต่งตึงในที่สุด
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- นอกจากลดริ้วรอยใต้ตาได้แล้ว ยังลงลึกไปสลายไขมันส่วนเกินบริเวณถุงใต้ตาได้อีกด้วย
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวรอบดวงตาสุขภาพดีในระยะยาว
- มีข้อจำกัดเยอะกว่าหัตถการอื่น คือไม่ควรใช้กับผู้ที่ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเลือด ผู้ที่มีประวัติลมชัก หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้ามีริ้วรอย หย่อนคล้อย อันได้แก่ ริ้วรอยใต้ตา ร่องปาก ขมับ คาง
- เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากศัลยกรรม อันเนื่องมาจากกลัวเจ็บ กลัวเลือด ไม่มีเวลาพักฟื้น
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับกระชับใบหน้าให้เรียว
ราคาและค่าใช้จ่าย : คลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8,000-18,000 เป็นต้นไป
วิธีที่ 12 รักษาด้วยพลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP)
PRP หรือที่ย่อมาจาก Platelet Rich Plasma เป็นการฟื้นฟูผิวด้วยการนำเลือดของตัวเองมาปั่นแยก แล้วเอาแค่พลาสมาที่มีเกล็ดเลือด และ Growth factor เข้มข้น โดยเกล็ดเลือด มารักษาเนื้อเยื่อผิวที่มีริ้วรอยจากความเสื่อมสภาพ อันเนื่องมาจากอายุที่เยอะขึ้น ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะไปช่วยเติมเต็ม และยกโพรงผิวหนังที่ยุบ หรือเป็นร่องให้เรียบเนียน สม่ำเสมอกัน อีกทั้งยังไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณผ่องใส ดูมีสุขภาพดี
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตาได้ตรงจุดแบบถาวร และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่
- เพิ่มความสามารถของเกล็ดเลือดในการซ่อมแซมร่างกาย ที่ได้รับบาดเจ็บ และช่วยลดอาการเจ็บปวด
- ไม่สามารถทำร่วมกับ Botox หรือ filler หากผู่ที่เข้ารับหัตถการทั้ง 2 แบบมาก่อนแล้ว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อเลื่อนช่วงระยะในการทำ PRP ออกไปก่อน
- เป็นวิธีที่มีข้อจำกัดไม่เหมาะกับกลุ่มคนดังนี้
- กลุ่มผู้ที่มีอาการที่มีความผิดปกติของเกล็ดเลือด
- ผู้ที่เป็นโรคเลือดจาง มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำรุนแรง
- มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หรือกำลังทำการรักษา
- ผู้ที่กำลังรับประทานยาต้านเกล็ดเลือด หรือสลายลิ่มเลือด
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด
เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะกับผู้ที่มีอายุเยอะ และมีริ้วรอยใต้ตาเป็นจำนวนมาก
- เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยทั่วใบหน้า ทั้งริ้วรอยตื้น และลึก
- เหมาะกับผู้ที่เป็นสิว ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงจากสิว
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิว ทำให้รูขุมขนเล็กลง
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษารอยแผลเล็กๆ ให้หายขาด
- เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคข้อเสื่อม เพี่อให้พลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น เข้าไปกระตุ้นคอลาเจนและเพิ่มประสิทธิภาพให้ไขข้อทำงานได้อย่างดีขึ้น
วิธีที่ 13 ใช้วาสลีนลดริ้วรอยใต้ตา
วาสลีนหรือปิโตรเลี่ยมเจลถือเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนแทบจะมีติดบ้าน เนื่องจากมีสรรพคุณอยู่มากมายหลายอย่าง รวมไปถึงการช่วยลดริ้วรอยใต้ตา ด้วยการทาวาสลีนลงบนผิวใต้ตาเป็นประจำเช้า-เย็น ซึ่งจะช่วยให้ผิวใต้ตามีความชุ่มชื้นขึ้นและลดโอกาสการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ดี
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดความแห้งหยาบกร้านได้ดี
- ช่วยเป็นไพรเมอร์เพื่อป้องกันรองพื้นและคอนซีลเลอร์ตกร่องหลังแต่งหน้า
- สามารถใช้เป็นการช่วยเช็ดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกออกได้
- ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำใต้ดวงตาได้
- สามารถใช้ได้กับการแก้ริ้วรอย ร่องตื้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคต
เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องตื้นเพียงเล็กน้อยหรือผู้ที่มีแนวโน้วเกิดริ้วรอยขึ้นในอนาคต
- เหมาะกับผู้ที่ปัญหาผิวใต้ตาแห้งหยาบกร้านและต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวรอบๆ ดวงตา
- เหมาะกับผู้ที่ไม่ได้ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่เร่งด่วน
วิธีที่ 14 ฉีดรีจูรันลดริ้วรอยใต้ตา
เป็นอีกหนึ่งหัตถการเมโสเทอราปีที่โด่งดังในเรื่องของการช่วยกู้และฟื้นฟูผิวได้ลึกถึงเซลล์ผิวภายในชั้นผิว ด้วยตัวยาที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีโดยมีสารสกัดสำคัญอย่างพอลินิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide) จาก DNA ปลาแซลม่อน ที่จะใช้วิธีการฉีดตัวยาตามจุดต่างๆ ทั่วใบหน้าด้วยเทคนิคการฉีดแบบเกิดตุ่ม ทำให้ตัวยาสามารถซึมลงสู่ชั้นผิวไปปรับผิวให้ผิวแข็งแรง ปรับผิวให้มีความชุ่มชื้นสุขภาพดี และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินทำให้ริ้วรอย ร่องลึกดูตื้นขึ้นและปรับผิวให้มีความอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวปรับผิวให้แข็งแรง ลดโอกาสเกิดการแพ้ระคายเคือง
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินทำให้ริ้วรอย ร่องลึกดูตื้นขึ้นและช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้
- ช่วยปรับรูขุมขนให้กระชับ ปรับผิวให้เรียบเนียน
- ช่วยปรับสีผิวให้มีความกระจ่างใสและสม่ำเสมอกันทั่วทั้งใบหน้า
- ช่วยลดความมันส่วนเกินบนใบหน้า
- มีราคาค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และจะต้องทำติดต่อกัน 3-5 ครั้งขึ้นไปถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- หลังทำอาจเกิดรอยแดง รอยเข็มได้
เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความคอลลาเจนให้แก่ผิว
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้แข็งแรง ลดโอกาสเกิดสิว ผิวแพ้ระคายเคือง
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้มีความอ่อนเยาว์ขึ้น
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้เรียบเนียน ต้องการลดรอยสิวและรอยแผลเป็นต่างๆ
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับสมดุลให้แก่ผิว ลดปัญหาหน้าแห้ง หน้ามัน
วิธีที่ 15 ฉีดไขมันใต้ตา
คือวิธีการฉีดเซลล์ไขมันดีของคนไข้ เพื่อเข้าไปทดแทนคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวให้เสื่อมโทรมจนสลายไป ซึ่งวิธีนี้คนไข้จะต้องผ่านขั้นตอนการดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายก่อนและนำตัวไขมันไปคัดแยกเพื่อเลือกเอาแค่ส่วนไขมันดี และนำมาฉีดเติมผิวบริเวณใต้ตา
ข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้
- ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินจากบริเวณอื่นได้ เช่น ต้นแขน ต้นขา
- มีโอกาสแพ้ระคายเคืองได้น้อยเพราะว่าเป็นเซลล์ไขมันของคนไข้เอง
- เกิดความเจ็บซ้ำซ้อนทั้งในจุดที่ฉีดไขมันและจุดที่ดูดไขมัน
- ไม่เหมาะกับการฉีดในผิวชั้นตื้นเพราะอาจจะเป็นก้อนได้ง่าย
- หลังทำหากอยากแก้ไขต้องผ่าตัดเอาเซลล์ไขมันออก
เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาในผิวชั้นลึก
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินในบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย
ราคาและค่าใช้จ่าย : เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40,000-120,000 บาทเป็นต้นไป
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันริ้วรอยใต้ตา
หากอยากให้ผิวรอบดวงตาปราศจากริ้วรอย โดยเฉพาะริ้วรอยใต้ตา ที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย สามารถเริ่มดูแลตัวเองได้ทุกวัน และได้ทุกเพศทุกวัย ดังนี้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตาบ่อยๆ
- เลี่ยงการเผชิญกับแสงแดด ความร้อนที่จะส่งผลให้ทำให้เกิดปัญหาริ้วรอยได้ง่าย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อวัน ไม่นอนดึก
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน หรือเพิ่มการบวมน้ำให้ผิว เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่
- ทาครีมบำรุง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรอบดวงตาเป็นประจำ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวโดยตรง เช่นผัก ผลไม้ และเนื้อปลา
สรุปแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตาด้วยวิธีไหนดีที่สุด
หากจะให้ตอบว่าวิธีไหนที่สุดก็ต้องบอกเลยว่าเป็นวิธีทางการแพทย์เช่น การฉีดฟิลเลอร์ โบท็อก การทำ Ultraformer III เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีที่ทำแล้วสามารถเห็นผลได้จริง โดยไม่มีผลข้างเคียงหรือเกิดความอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย นอกจากนั้นยังไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้นดูแลตัวเอง จึงทำให้เป็นวิธีที่เหมาะมากกับคนที่ไม่มีเวลาและไม่อยากเจ็บตัว
แต่ข้อสำคัญต่อจากนี้คือ การเลือกคลินิกเพื่อเข้ารับบริการแก้ไขริ้วรอยใต้ตา ต้องมีความน่าเชื่อถือ เชี่ยวชาญเรื่องผิวหนัง ควบคู่ไปกับมีเทคโนโลยีและเทคนิคการแพทย์ที่ทันสมัย หลากหลายให้เราได้เลือก อย่างเช่น กังนัมคลินิก ที่พร้อมฟื้นฟูผิวรอบดวงตา แก้ไขตรงจุด และให้ผลลัพธ์รวดเร็ว ปลอดภัย หากกำลังมองหาคลินิกมาตรฐานที่ดีและครบถ้วน ก็สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Gangnam clinic หรือสามารถแอดไลน์ Line: @gangnamclinic เพื่อนัดหมาย/ ปรึกษา และขอรับบริการ