รู้ทันสาเหตุ หน้าเหี่ยว หน้าแก่ก่อนวัย เกิดจาก? มีวิธีรักษาและป้องกันอย่างไร?
เรื่องความสวยความงามเป็นสิ่งที่คนยุคใหม่ให้ความสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่เพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น ปัญหาผิวหน้าเหี่ยวย่น หน้าแก่ก่อนวัย จึงเป็นเรื่องที่หลายคนกังวล บทความในวันนี้จึงได้รวบรวมสาเหตุของการมีหน้าแก่ก่อนวัย พร้อมวิธีแก้หน้าเหี่ยวย่นที่เห็นผลได้จริง เพื่อให้คนที่มีความกังวลสามารถเลือกปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม
หน้าเหี่ยวย่น หน้าแก่ก่อนวัย คือ?
ใบหน้าที่มีสัญญาณความแก่ก่อนวัย จากผิวหน้าปกติที่ควรดูเต่งตึง ยืดหยุ่น เรียบเนียน จะเริ่มสังเกตเห็นริ้วรอยบนใบหน้าในตำแหน่งต่างๆ เช่น ร่องแก้ม เส้นบริเวณหน้าผาก หรือตีนกา พบร่วมกับความหย่อนคล้อย ไม่กระชับของผิว รวมไปถึงความแห้งกร้าน และจุดด่างดำอีกด้วย หน้าเหี่ยว หน้าแก่ สามารถเกิดขึ้นได้ตามกาลเวลา แต่หากมีการดูแลตัวเองที่ดีก็จะช่วยชะลอให้หน้าเหี่ยวช้าลงได้
สาเหตุหน้าเหี่ยวหน้า แก่ก่อนวัย เกิดจากอะไร?
ปัญหาหน้าแก่ หน้าเหี่ยวเกิดมาได้จากทั้งอายุที่เพิ่มขึ้น และวิถีชีวิตที่ทำร้ายสภาพผิว โดยส่วนมากคนที่หน้าเหี่ยวก่อนวัยมักเกิดจากขาดการดูแลผิวหน้าที่ดี มีสาเหตุหลักทั้งหมด 5 ประการ ดังนี้
- นอนตะแคง
การนอนตะแคงจะทำให้ใบหน้าสัมผัสกับหมอนโดยตรง หากมีการขยับตัวบ่อยๆ จะเกิดการเสียดสีบริเวณผิวหน้า ส่งผลให้มีริ้วรอยบนใบหน้าได้ง่ายขึ้นนั่นเอง - ตากแดดไม่ทากันแดด
รังสี UV จากแสงอาทิตย์เป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผิวอ่อนแอ ขาดความชุ่มชื้น และมีสภาพผิวที่แห้งลง ส่งผลให้เกิดความเหี่ยวย่น และจุดด่างดำได้ง่าย หากไม่มีการทาครีมกันแดดเลยก็มีโอกาสหน้าแก่ก่อนวัยได้สูง - กระดูกยุบตัว
เมื่ออายุมากขึ้นกระดูกใบหน้าจะเกิดการยุบตัวลงโดยเฉพาะบริเวณแก้ม ทำให้เห็นร่องแก้มชัดขึ้น ผิวหน้าหย่อนคล้อย หน้าตอบลง ทำให้ดูแก่ขึ้นได้ - ล้างหน้า ขัดหน้าแรง
การล้างหน้าหรือขัดผิวหน้าทำให้ผิวถูกรบกวน มีการเสียดสีมาก หากขัดถูแรงเกินไปก็จะทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น - การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
สารเสพติดอย่างบุหรี่และแอลกอฮอล์มีสารอนุมูลอิสระในตัว หากสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ ร่างกายก็จะเกิดความอ่อนแอ ผิวหน้าถูกทำร้ายได้ง่าย เกิดความเหี่ยวย่นตามมาได้เช่นกัน - ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
เมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม ร่างกายจะถูกดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินออกจากผิวได้ง่าย ทำให้กระทบต่อความชุ่มชื้นและความกระชับของผิวหน้า หากดื่มเป็นประจำก็เสี่ยงหน้าแก่ก่อนวัยอันควร - ทานอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป
การทานคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลในปริมาณมากเกินไปจะทำให้คอลลาเจนในผิวหน้าลดลงได้ง่าย เกิดความหมองคล้ำ และความเหี่ยวย่นตามมาได้ เนื่องจากมีสารอนุมูลอิสระที่ทำร้ายโครงสร้างผิว - นอนหลับพักผ่อนน้อย
ในระหว่างการนอนหลับร่างกายจะมีการซ่อมแซมฟื้นฟูผิวหน้า ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและชุ่มชื้น หากไม่ได้พักผ่อนในช่วงเวลาที่เหมาะสม หรือพักผ่อนน้อยเกินไปผิวหน้าก็จะแห้งกร้าน สูญเสียความชุ่มชื้น ไวต่อมลภาวะ ทำให้หน้าเหี่ยว หน้าแก่ก่อนวัยได้เช่นกัน
หน้าเหี่ยวหน้าแก่ก่อนวัยส่งผลเสียอะไรบ้าง?
ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัยหลักๆ จะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ เพราะอาจโดนทักบ่อยๆ ว่าหน้าแก่ เป็นปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ เนื่องจากอาจเข้าใจผิดว่ามีอายุมาก หน้าแก่ มีริ้วรอย ความเหี่ยวย่น ยังเป็นโหงวเฮ้งที่ไม่ดีในด้านการงาน และยังส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพ ขาดความสดใส ดูโศกเศร้า รวมถึงทำให้แต่งหน้าได้ยากขึ้นอีกด้วย
ใน ผู้ชาย VS ผู้หญิงใครพบปัญหาหน้าเหี่ยวมากกว่ากัน
ผู้หญิงมีโอกาสหน้าแก่ก่อนวัยได้เร็วกว่าผู้ชาย เนื่องจากผู้ชายจะมีผิวหน้าที่มันกว่าผู้หญิง ทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยงผิว ทนต่อมลภาวะได้ดีกว่า และปริมาณคอลลาเจนในผิวหน้าของผู้หญิงยังมีน้อยกว่าผู้ชาย ในขณะที่มีไขมันบริเวณแก้มที่มากกว่า ทำให้เมื่อเกิดความหย่อนคล้อยจึงสังเกตเห็นความเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้ชัดเจนกว่านั่นเอง
12 วิธีแก้ปัญหา หน้าเหี่ยว หน้าแก่ก่อนวัย
1. นวดหน้าให้หน้าเด็ก
การนวดหน้าเป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มความกระชับ ลดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดี สามารถทำได้เองด้วยการใช้ปลายนิ้วและฝ่ามือรีดผิวจากด้านล่างขึ้นด้านบน หรือหากเป็นบริเวณหน้าผากให้รีดจากช่วงเหนือคิ้วไปจนถึงไรผม ควรทำหลังจากที่ทาครีมบำรุง และนวดอย่าเบามือป้องกันการเกิดริ้วรอย แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นประจำเพื่อให้เห็นผลลัพธ์
2. เลเซอร์หน้าใส ลดริ้วรอย
เลเซอร์เป็นนวัตกรรมความงามที่ใช้พลังงานความร้อนที่มีความยาวคลื่นสูงมาช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น โดยเลเซอร์จะจับเม็ดสีเมลานินเพื่อช่วยลดความหมองคล้ำ ริ้วรอยเล็กๆ รวมทั้งกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเกิดความกระชับ รูขุมขนเล็กลง ผิวดูสม่ำเสมอขึ้นได้ การทำเลเซอร์ควรทำอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเครื่องเลเซอร์ที่ประสิทธิภาพสูง ช่วยลดริ้วรอยเล็กๆ ได้ดีที่สุด คือ Dual Yellow Laser เพราะผลข้างเคียงต่ำ ควรทำ 3 – 4 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดี
3. ทาครีม ให้หน้าตึงกระชับ
การทาครีมจะช่วยทำให้ผิวหน้าได้รับมอยส์เจอร์ไรเซอร์ในการคงความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้ดี ผิวจะมีความยืดหยุ่น ช่วยป้องกันมลภาวะ และไม่แห้งกร้านได้ง่าย หากเลือกครีมที่เหมาะกับสภาพผิวและทาเป็นประจำทุกวันก็จะช่วยชะลอความหย่อนคล้อย หรือริ้วรอยได้ดี แต่จะเน้นป้องกันไม่ให้ผิวแก่ลง อาจไม่สามารถรักษาริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยเดิมที่มีอยู่แล้วได้เห็นผลเท่าการทำหัตถการความงาม
4. ทานคอลลาเจนให้หน้าเต่งตึง
สาเหตุของหน้าแก่มาจากการที่ผิวสูญเสียคอลลาเจน หากมีการทานคอลลาเจนเพิ่มเติมก็จะสามารถช่วยปรับโครงสร้างผิวให้มีความแข็งแรงขึ้นได้ การกินคอลลาเจนจะเหมาะกับคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง เลือกทานได้ทั้งคอลลาเจนที่พบได้ตามธรรมชาติ เช่น ปลาทะเล เอ็น ผักผลไม้สีแดง-ส้ม และผักใบเขียว หรือหากเป็นคอลลาเจนแบบเม็ดควรเลือกยี่ห้อที่เชื่อถือได้ ทานตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเยอะๆ และทานคู่กับวิตามินซี เพื่อให้ดูดซึมได้ดีที่สุด แต่ไม่ควรทานเกิน 10,000 มิลลิกรัมต่อวัน
5. ฉีดโบท็อก ป้องกันริ้วรอยบนใบหน้า
โบท็อก เป็นตัวยาที่ได้จากสารสกัดจากแบคทีเรีย Clostridium Botulinum ในรูปของโปรตีนซึ่งช่วยยับยั้งกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวลง การฉีดโบท็อกสามารถเลือกฉีดในตำแหน่งที่มีริ้วรอยได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น หน้าผาก ร่องแก้ม หรือหางตา เป็นหัตถการที่เห็นผลได้ไว หลังจากทำประมาณ 7 – 14 วัน และสามารถคงสภาพได้นาน 3 – 4 เดือน มีข้อดีตรงที่จะช่วยป้องกันให้เกิดริ้วรอยใหม่ๆ ได้น้อยลง
6. ฉีดเมโสฟื้นฟูผิวหน้า เพิ่มความกระจ่างใส
การฉีดเมโสเป็นการบำรุงผิวแบบเร่งด่วน โดยตัวยาเมโสจะมีให้เลือกหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อจะเน้นช่วยปรับสภาพผิวต่างกัน เช่น ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนกระชับผิว เติมวิตามินเพิ่มความกระจ่างใส หรือช่วยขับพิษออกจากผิว หลังฉีดเมโสผิวหน้าจะยืดหยุ่น รูขุมขนเล็กลง รวมทั้งชะลอการเกิดริ้วรอย ให้ผลลัพธ์แบบเป็นธรรมชาติเหมือนการบำรุงด้วยครีมแต่ไวกว่าภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีด เพราะฉีดเข้าไปในผิวชั้นกลางบริเวณที่มีคอลลาเจนและอิลาสตินโดยตรง สามารถคงสภาพได้นาน 1 – 2 เดือน มียี่ห้อ Filorga และมาเด้คอลลาเจนที่ได้รับความนิยมสูง
7. ร้อยไหมให้ผิวหน้ากระชับเต่งตึง
ร้อยไหมจะเป็นวิธีรักษาหน้าเหี่ยว ริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยที่เห็นผลได้ทันทีหลังทำ โดยแพทย์จะนำเส้นไหมร้อยลงไปในชั้นผิวเพื่อเกิดการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น มีเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ผิวจึงกลับมากระชับเต่งตึง โดยปกติจะสามารถอยู่ได้นาน 18 – 24 เดือน ขึ้นอยู่กับขนิดของไหมที่เลือก
8. Ultraformer III ลดริ้วรอยหย่อยคล้อย
Ultraformer คือ เครื่องยกกระชับผิวที่ปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง (High Intensity Focused Ultrasound Macrofocus) เข้าไปใต้ชั้นผิวถึงชั้น SMAS เพื่อให้เกิดการหดตัวอย่างรวดเร็วและเกิดความกระชับขึ้น นวัตกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย และแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้ดี ใช้ได้กับทั้งบริเวณรอบดวงตา ร่องแก้ม และทั่วทั้งใบหน้า รวมทั้งเห็นผลลัพธ์การลดไขมันได้ดี ผลลัพธ์หลังทำจะคงสภาพได้นาน 5 – 6 เดือน
9. Crystal DNA ซ่อมแซมผิวหน้าให้ชุ่มชื้น
โปรแกรมบำรุงผิวหน้า Crystal DNA ด้วยสารสกัดเข้มข้นในการฟื้นฟูสภาพผิว ประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid, Polynucleotide, Niacinamide & Glutathione และ Growth Factors ซึ่งสามารถช่วยลดริ้วรอย ซ่อมแซมอนุพันธ์ DNA ที่เสียหาย ลดจุดด่างดำ กระชับรูขุมขน เพิ่มความชุ่มชื้น และกระตุ้นการฟื้นฟูเซลล์ผิวได้ดี สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังทำ
10. Chanel Injection กระตุ้นและสร้างเซลล์ผิวใหม่
Chanel Injection เป็นการทำทรีตเมนต์ผิวโดยการฉีดสารสกัดที่ประกอบด้วย Hyaluronic Acid วิตามิน กรดอะมิโน และแร่ธาตุลงสู่ผิว เพื่อช่วยปรับการทำงานของไฟโบรบลาสต์ให้ดีขึ้น ให้ผลลัพธ์ผิวที่มีความแข็งแรง กระชับ ลดริ้วรอย พร้อมกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เป็นเทคนิคที่นิยมในเกาหลี ควรฉีดทุกๆ 2 – 3 สัปดาห์ต่อครั้ง หลังฉีดจะเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 2 สัปดาห์ สามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยใหม่ๆ ได้ดี
11. ทำทรีตเมนต์ ผลัดเซลล์ผิวให้สดใส
การทำทรีตเมนต์หน้าเป็นอีกวิธีที่ช่วยบำรุงผิวที่ให้ผลลัพธ์ไวกว่าการบำรุงด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ปัจจุบันมีให้เลือกทำหลายแบบ แต่ที่ได้ประสิทธิภาพครอบคลุม ช่วยให้สภาพผิวโดยรวมสดใส แนะนำเป็นการทำ Cooling Blue โดยใช้เทคโนโลยีลำแสงสีฟ้ายิงไปบริเวณผิว พร้อมระบบความเย็น 5 องศา จึงเหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย เพราะไม่ทำให้เกิดการแสบร้อนผิว เน้นช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และปรับผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้ดี
12. ฉีดฟิลเลอร์ ให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น
ในเคสที่หน้าเหี่ยว ดูหย่อนคล้อยลงเพราะกระดูกยุบ หรือมีริ้วรอยเล็กๆ ในบางตำแหน่ง สามารถเลือกฉีดฟิลเลอร์เพือเติมเต็มผิวให้กระชับขึ้นได้ มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นสาร Hyaluronic Acid ที่สามารถสลายได้เอง ไม่ตกค้างในร่างกาย และได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ฟิลเลอร์จะเหมาะฉีดแก้ริ้วรอยใต้ตา ริ้วรอยร่องแก้ม และเติมเนื้อขมับ หน้าผาก หรือคางได้เช่นกัน ควรฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและใช้ฟิลเลอร์ของแท้เท่านั้น ฟิลเลอร์จะสามารถคงสภาพได้นานประมาณ 6 – 18 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้
วิธีดูแลและป้องกันผิวหน้าไม่ให้แก่ และเหี่ยวย่นก่อนวัย
หลังจากเลือกรักษาผิวเหี่ยวย่นแล้วหากไม่ต้องการให้ผิวกลับมาดูแก่ เหี่ยวย่นอีกครั้ง ควรปรับเปลี่ยนการดูแลตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อคงความอ่อนเยาว์ให้ผิวคงอยู่ได้นานขึ้นด้วยวิธีต่อไปนี้
- ทากันแดด
อย่างที่ได้กล่าวไปตอนต้นว่าแสง UV เป็นปัจจัยอันดับแรกๆ ที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็ว การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันก่อนออกที่กลางแจ้งก็จะเป็นตัวช่วยที่ดีในการปกป้องผิวไม่ให้ดูแก่ก่อนวัยได้นั่นเอง - ทาครีมบำรุงผิว
ความชุ่มชื้นในผิวเป็นสิ่งที่จะช่วยคงความอ่อนเยาว์ กระชับ เต่งตึงให้ผิวหน้าได้ดี จึงควรต้องทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำเพื่อเติมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ผิวแข็งแรง ทนต่อมลภาวะ - เช็ดเครื่องสำอางเบาๆ
การสัมผัสใบหน้าแรงๆ มีโอกาสทำให้เกิดริ้วรอยได้มากขึ้น แนะนำให้เช็ดเครื่องสำอางเบาๆ รวมไปถึงการสครับผิวด้วยความอ่อนโยน หรือล้างหน้าอย่างระมัดระวัง ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดริ้วรอยหรือผิวเหี่ยวย่นก่อนวัยได้ - พักผ่อนให้เพียงพอ
เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซ่มเซลล์ผิวได้ดี นอกจากนั้นการพักผ่อนน้อยยังส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของคอลลาเจนในผิว - งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
เนื่องจากสารเหล่านี้จะเข้าไปทำลายเซลล์ผิวและคอลลาเจนในผิวให้เกิดการเสื่อมตัวลงส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ผิวแห้ง ผิวโทรม ผิวหมองคล้ำนั่นเอง
สรุป
สำหรับคนที่เริ่มมีปัญหาผิวหน้าเหี่ยวย่น หรือหน้าแก่ก่อนวัย แนะนำให้หลีกเลี่ยงสาเหตุของความเหี่ยวย่นและดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดขึ้นเพื่อช่วยคงความอ่อนเยาว์ให้กับผิว หรือหากต้องการวิธีแก้ไขที่เร่งด่วนก็ควรเลือกหัตถการความงามที่เหมาะสมให้เป็นตัวช่วยเร่งผลลัพธ์ หากยังไม่มั่นใจว่าสภาพผิวของตนเองเหมาะกับวิธีไหน สามารถเข้ามาขอคำปรึกษากับกังนัมคลินิกได้ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเพิ่มเติมได้ทาง Line : @gangnamclinic